
นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBAM เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความผันผวนจากหลายปัจจัย ทั้งความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก การชะลอตัวของภาคการส่งออก รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำจากการชะลอตัวของการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งสะท้อนถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง และต้องอาศัยแรงขับเคลื่อนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและนโยบายการเงินที่คาดหวังให้ผ่อนคลายมากขึ้น แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ กลุ่มกองทุนรวมประเภทอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานภายใต้การบริหารของ SCBAM ยังคงแสดงศักยภาพในการสร้างผลการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง โดยกองทุนสามารถจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วยได้อย่างสม่ำเสมอ สะท้อนบทบาทของสินทรัพย์กลุ่มนี้ในฐานะเครื่องมือสำคัญที่สร้างเสถียรภาพให้กับพอร์ตการลงทุนในระยะยาว โดยไตรมาสที่ 3/2568 คณะกรรมการพิจารณาการลงทุนได้อนุมัติจ่ายผลตอบแทนให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสำหรับรอบการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2568-30 กันยายน 2568 จำนวน 3 กองทุน โดยมี กองทุน DIF (กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล) จ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.2222 บาท/หน่วย(*) กองทุน POPF (กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ไพร์มออฟฟิศ) จ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.2150 บาท/หน่วย(*) และกองทุน CPNCG (กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN คอมเมอร์เชียล โกรท) จ่ายเงินคืนทุนในอัตรา 0.2661 บาท/หน่วย(*) โดยทั้ง 3 กองทุนมีกำหนดการปิดสมุดลงทะเบียนวันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 และจ่ายเงินผลประโยชน์ตอบแทนให้นักลงทุนในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2568
กองทุน DIF กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่มีรายได้จากการให้เช่าทรัพย์สินโทรคมนาคม มีรายได้หลักจากการให้เช่าโครงข่ายโทรคมนาคม เช่น เสาสัญญาณและสายใยแก้วนำแสงแก่กลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชัน (TRUE) โดยไตรมาส 3/2568 มีกำหนดจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.2222 บาท/หน่วย นับเป็นครั้งที่ 3 ของปี และครั้งที่ 47 นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 8 ธันวาคม 2568
ในขณะเดียวกัน กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ อีก 2 กองทุน มีกำหนดจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนในไตรมาสที่ 3/2568 ได้แก่ กองทุน POPF ที่ลงทุนในสิทธิการเช่าอาคารสำนักงาน 2 แห่ง อาคารสมัชชาวาณิช 2 และอาคารบางนา ทาวเวอร์ ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลธุรกิจสำคัญที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ซึ่งมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.2150 บาท/หน่วย นับเป็นครั้งที่ 3 ของปี และนับเป็นครั้งที่ 58 ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 4 ธันวาคม 2568 และอีกกองทุน คือ กองทุน CPNCG มีรายได้จากการลงทุนในสิทธิการเช่าของอาคารสำนักงานเกรดเอ บริเวณศูนย์การค้าในเครือบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ย่านปทุมวัน โดยมีกำหนดจ่ายเงินคืนทุน 0.2661 บาท/หน่วย เป็นเงินจำนวน 113,528,638 บาท ซึ่งการลดทุนเป็นการจ่ายสภาพคล่องส่วนเกินตามวิธีการทางบัญชี นับเป็นการคืนทุนครั้งที่ 3 ของปี และเป็นครั้งที่ 11 ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน ทั้งนี้กำหนดจ่ายคืนทุนในวันที่ 4 ธันวาคม 2568
นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในช่วงที่เศรษฐกิจยังอยู่ระหว่างสภาวะชะลอตัวและตลาดยังคงมีความผันผวน การมองหาโอกาสจากสินทรัพย์ที่มีโอกาสในการสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอและมีเสถียรภาพเมื่อเทียบกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันจึงเป็นสิ่งสำคัญ กองทุนที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและมีประวัติการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอ ไม่เพียงช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนเพื่อเป้าหมายการลงทุนได้ในระยะยาว”











