
จากกรณีร้อนสะเทือนวงการธุรกิจรับสร้างบ้านและสร้างความเสียหายให้กับผู้เสียหายราว 100-200 ราย ที่ได้รับผลกระทบจากการว่าจ้างบริษัทรับสร้างบ้านเจ้าหนึ่งแต่ไม่ได้บ้านตามสัญญา ต้องสูญเงินหลักล้าน เสียเวลา เสียสุขภาพจิต บางรายถึงขั้นตรอมใจ เพราะได้รับผลกระทบต่อเนื่องทั้งในด้านการเงินและความเป็นอยู่ จนต้องร้องขอความเป็นธรรมและถามหาความรับผิดชอบจากบริษัทคู่กรณีในรายการดัง จนเกิดแฮชแท็กดังสะเทือนใจใครหลายคนอย่าง “เทปูนเสร็จ เทงานเลย”
เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์ครั้งใหญ่ของวงการรับสร้างบ้านที่มีหลายบริษัทเริ่มลงไปแข่งขันด้านราคาในยุคเศรษฐกิจชะลอตัวจนลืมคำนึงถึงอนาคตในระยะยาวของลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจในการสร้างบ้าน และยังเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนสร้างบ้านที่ต้องหาทางป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ
เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์สร้างบ้านไม่ได้บ้านเกิดขึ้นซ้ำกับผู้บริโภครายใหม่จนเกิดผลกระทบเพิ่ม คุณพรรัตน์ มณีรัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจ บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด ได้รวบรวมข้อแนะนำ Check List สำคัญ ที่ลูกค้าควรพิจารณาก่อนตัดสินใจสร้างบ้าน เพื่อเป็นแนวทางตรวจสอบบริษัทรับสร้างบ้าน ป้องกันความเสียหายสร้างบ้านไม่ได้บ้านในอนาคต จึงมีข้อเสนอแนะ 8 แนวทางสำคัญในการตรวจสอบบริษัทรับสร้างบ้าน
1.ตรวจสอบทุนจดทะเบียนบริษัท
บริษัทรับสร้างบ้านที่มั่นคง ควรมีทุนจดทะเบียนสูงกว่ามูลค่าบ้านที่จะสร้างอย่างน้อย 10 เท่า เพื่อสะท้อนความมั่นคงทางการเงินและศักยภาพในการรับผิดชอบหากเกิดปัญหาพร้อมกันหลายราย
2.พิจารณาจากรีวิวลูกค้าจริง
เสียงสะท้อนจากผู้ที่เคยใช้บริการจริงคือหลักฐานแสดงความน่าเชื่อถือและการให้บริการสร้างบ้านที่ดีได้ดีที่สุด ซึ่งบริษัทที่ให้บริการดี รับรีวิวเชิงบวกจากลูกค้าจำนวนมากแสดงถึงความพึงพอใจที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่เพียงคำโฆษณา การอ่านรีวิว และพูดคุยกับผู้ที่เคยสร้างบ้านกับบริษัทนั้นมาก่อน จะช่วยยืนยันคุณภาพการก่อสร้างและบริการได้เป็นอย่างดี ซึ่งหากพิจารณาจากกรณีที่เกิดขึ้น มีลูกค้าหลายรายที่รอดจากการตกเป็นผู้เสียหายมูลค่าหลักล้าน เพราะเข้าไปอ่านรีวิว พูดคุยกับผู้ที่กำลังก่อสร้างแล้วประสบปัญหาก่อนหน้า ทำให้สามารถไหวตัวได้ทัน ไม่จ่ายจนบานปลาย
3.มีไซต์งานให้เยี่ยมชมได้จริง
ลูกค้าควรได้เห็นผลงานการสร้างบ้าน เข้าเยี่ยมชมไซต์งานก่อสร้างจริง โดยเฉพาะงานระหว่างก่อสร้าง เพื่อดูมาตรฐานการควบคุมงาน ฝีมือช่าง สเปควัสดุที่ใช้จริง ซึ่งการได้เห็นด้วยตาตนเองจะช่วยให้มั่นใจว่าบริษัทมีผลงานจริงและคุณภาพตรงตามที่สัญญาไว้ โดยบริษัทรับสร้างบ้านที่น่าเชื่อถือควรมีไซต์งานคุณภาพหลายไซต์งาน เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าชมเพื่อสร้างความมั่นใจในด้านวัสดุการก่อสร้าง คุณภาพและฝีมือการสร้างบ้าน รวมถึงการสร้างบ้านจริงไม่ทิ้งงานได้ ไม่ใช่มีไซต์สร้างบ้านที่สวยงานดูดีเพียงแค่ 1-2 ไซต์งาน ที่บริษัทรับสร้างบ้านจัดเตรียมเพื่อให้ลูกค้าทุกคนมาเยี่ยมชมเป็นพิเศษ เพราะลูกค้าหลายคนมักตกหลุมพลางกลลวงกลุ่มบริษัทเหล่านี้ จนต้องเสียใจกับคุณภาพงานจริงนับไม่ถ้วน
4.พิจารณาอายุการดำเนินธุรกิจและผลงานที่ผ่านมา
บริษัทที่อยู่ในตลาดมาอย่างยาวนาน มีผลงานต่อเนื่องหลายสิบปี มักมีความพร้อมด้านการทำงานอย่างเป็นระบบ ด้านทีมงาน และบริการหลังการขายที่เชื่อถือได้ อีกทั้งยังเป็นหลักประกันว่าบริษัทสามารถรับผิดชอบการดูแลบ้านได้ยาวนานตามเงื่อนไขการรับประกัน
5.ระบุรายละเอียดวัสดุและสเปกอย่างโปร่งใส
สัญญาก่อสร้างที่ดีต้องระบุยี่ห้อ รุ่น และคุณภาพวัสดุอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันการลดเกรดวัสดุโดยไม่ได้แจ้งลูกค้า ซึ่งความโปร่งใสในสเปกวัสดุคือหลักประกันสำคัญที่ทำให้ลูกค้าได้รับบ้านที่ตรงปกและปลอดภัยในระยะยาว
6.มีสัญญาและเงื่อนไขการชำระเงินชัดเจน
ก่อนเซ็นสัญญาควรตรวจสอบรายละเอียดการเบิกจ่ายในแต่ละงวดงานให้สัมพันธ์กับความคืบหน้าจริงของการก่อสร้าง สัญญาที่ชัดเจนและเป็นธรรมจะช่วยลดความเสี่ยงในการถูกนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งหากยอดการเบิกจ่ายในบางงวดงาน โดยเฉพาะงวดงานช่วงต้นของการสร้างบ้าน มีการเบิกจ่ายเงินในเปอร์เซ็นต์ที่สูงผิดปกติ ควรตั้งข้อสงสัยว่าบริษัทอาจขาดสภาพคล่องทางการเงิน หรืออาจมีการนำเงินไปใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์ในมูลค่ามหาศาล
7.ราคาสมเหตุสมผล ไม่ถูกเกินจริง
การเสนอราคาก่อสร้างที่ต่ำเกินไปอาจซ่อนความเสี่ยงไว้มากมาย เช่น การลดคุณภาพวัสดุ การจ้างช่างที่ไม่มีฝีมือ หรือการขาดการควบคุมงานที่ได้มาตรฐาน บ้านคือที่อยู่อาศัยระยะยาว จึงควรเลือกบริษัทที่เสนอราคา “เหมาะสมกับคุณภาพ” ไม่ใช่ “ถูกที่สุด” ซึ่งการสร้างบ้านที่มีคุณภาพสูง เหมาะกับการอยู่อาศัย ไม่ต้องพบกับปัญหางานซ่อมที่เกิดจากคุณภาพวัสดุและฝีมือช่างในระยะยาว จะอยู่ราว ๆ 20,000-29,000 บาท/ตร.ม. เฉลี่ยอยู่ที่ 25,000 บาท ซึ่งถือเป็นราคาที่สมเหตุสมผลกับบ้านหนึ่งหลังที่จะต้องอยู่อาศัยอย่างแข็งแรง มั่นคง ไม่ต้องกังวลในระยะยาวของทุกคนในครอบครัว
8.ความสอดคล้องของข้อมูลจากพนักงาน
บริษัทที่มีระบบการทำงานชัดเจนและโปร่งใส พนักงานทุกคนจะให้ข้อมูลที่ตรงกัน หากพบว่ามีความคลาดเคลื่อนในรายละเอียด อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความไม่เป็นมืออาชีพ การสื่อสารภายในไม่ดี หรือระบบงานที่ไม่มั่นคง
บริษัทที่อยู่ในธุรกิจรับสร้างบ้านจริง ๆ มาอย่างยาวนานจะมีระบบการบริการที่ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าลูกค้าจะเจอปัญหาอะไร บริษัทมีแนวทางแก้ไขปัญหาและมีระบบรองรับอย่างมีประสิทธิภาพ









