วันพุธ ที่ 19 พฤศจิกายน 2568 13:01น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.38 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”

19 พฤศจิกายน 2025

         นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.38 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์

         โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.36-32.44 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม รวมถึงมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเล็กน้อย จากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) ที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 1.947 ล้านราย แย่กว่าคาด เช่นเดียวกันกับ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ที่สูงขึ้นสู่ระดับ 2.32 แสนราย แย่กว่าคาด รวมถึง ข้อมูลการจ้างงานจากภาคเอกชน อย่าง ยอดการจ้างงานรายสัปดาห์โดย ADP ที่ออกมา ลดลงเฉลี่ยสัปดาห์ละ 2,500 ตำแหน่ง ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา จนถึงช่วง 1 พฤศจิกายน อย่างไรก็ดี เงินบาทก็เผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่บ้าง ชะลอการทยอยแข็งค่าขึ้น หลังเงินดอลลาร์กลับไม่ได้อ่อนค่าลงต่อเนื่อง แม้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานล่าสุดจะสะท้อนภาพการชะลอตัวลงของตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยเงินดอลลาร์ได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่มีจังหวะอ่อนค่าทดสอบโซน 155.70 เยนต่อดอลลาร์ รวมถึงความต้องการถือครองเงินดอลลาร์บ้างในช่วงตลาดการเงินผันผวนและอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง

        บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางแรงขายหุ้นเทคฯ โดยเฉพาะบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ Nvidia -2.8% หลังผู้เล่นในตลาดยังคงเลือกที่จะทยอยลดสถานะถือครองหุ้นกลุ่มดังกล่าวบ้าง ก่อนรับรู้ผลประกอบการของ Nvidia ในวันที่ 19 พฤศจิกายน นี้ ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่ม Healthcare และกลุ่มพลังงาน ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.83% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -1.21%

         ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ดิ่งลงกว่า -1.72% กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯ ธีม AI/Semiconductor ไม่ต่างกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทว่า แรงขายดังกล่าวได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างขายทำกำไรหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่ปรับตัวขึ้นได้ดีในปีนี้ อาทิ หุ้นกลุ่มธนาคารและการเงิน ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของ Roche +6.8% หลังมีรายงานผลการทดลองยาตัวใหม่ที่น่าสนใจ

        ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน ไร้ทิศทางที่ชัดเจน แถวโซน 4.12% แม้จะมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้นบ้าง แต่ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ก็ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยภาพดังกล่าว ยังคงสอดคล้องกับมุมมองของเรา ที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวผันผวนได้ในช่วงนี้ ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ภาวะตลาดการเงินโดยรวม และประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมองเดิมว่า หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

         ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ Sideways แม้จะเผชิญแรงกดดันบ้างจากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ทั้งยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานและยอดการจ้างงานภาคเอกชนรายสัปดาห์ โดย ADP ที่สะท้อนภาพการชะลอตัวของตลาดแรงงานมากขึ้น แต่เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และความต้องการถือเงินดอลลาร์บ้างท่ามกลางความผันผวนของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 99.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.4-99.7 จุด)  ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ยังพอช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ทยอยปรับตัวสูงขึ้น เข้าใกล้โซน 4,080 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทว่าการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำก็ถูกจำกัดบ้างจากจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงคืนที่ผ่านมา  

         สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานผลประกอบการหุ้นธีม AI/Semiconductor รายสำคัญ อย่าง Nvidia ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานการประชุม FOMC ล่าสุด (FOMC Meeting Minutes)

       ส่วนทางฝั่งอังกฤษ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนตุลาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)  

       และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะติดตาม การพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) นอกจากนี้ ควรติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่กลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินไทยในระยะสั้นบ้าง

        สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท แม้เรายังคงประเมินว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยโซนแนวต้านยังคงอยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับยังอยู่แถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะยังไม่รีบปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน จนกว่าจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากทางการสหรัฐฯ อย่างยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนกันยายน ที่จะรับรู้ในวันที่ 20 พฤศจิกายน นี้ ทว่า ควรระวัง ความผันผวนของตลาดการเงินที่อาจสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากในช่วง After Market ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้น ผู้เล่นในตลาดจะทยอยรับรู้ รายงานผลประกอบการของ Nvidia ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ในช่วงก่อนตลาดรับรู้ รายงานผลประกอบการของ Nvidia ผู้เล่นในตลาดก็จะรับรู้ รายงานการประชุมเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งอาจกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด และอาจส่งผลต่อเนื่องมายังบรรยากาศในตลาดการเงินได้บ้าง

         โดยหากรายงานการประชุมเฟดล่าสุดและถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ สะท้อนว่า เฟดยังคงระมัดระวังในการดำเนินนโยบายการเงิน ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ก็อาจกดดันบรรยากาศในตลาดการเงินเพิ่มเติม ซึ่งต้องรอลุ้นว่า ผลประกอบการของ Nvidia จะออกมาในลักษณะใด และส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินอย่างไรบ้าง โดยหากผู้เล่นในตลาดต่างผิดหวังต่อผลประกอบการของ Nvidia ก็อาจกดดันให้ตลาดปิดรับความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจหนุนเงินดอลลาร์ได้ไม่ยาก เนื่องจากตลาดกังวลต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด และอาจกดดันให้ เงินบาทอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ แต่การอ่อนค่าของเงินบาทจะมากน้อยเพียงใด จะขึ้นกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ โดยเรามองว่า แม้ตลาดปิดรับความเสี่ยง แต่หากตลาดกังวลต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ก็อาจไม่ได้ช่วยหนุนราคาทองคำมากนัก

         ในทางกลับกัน แม้ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานการประชุมเฟดจะสะท้อนว่า เฟดจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งก็ไม่ต่างจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดปัจจุบัน บรรยากาศในตลาดการเงินก็อาจไม่ได้แย่ลงมากนัก ซึ่งในกรณีที่ ผลประกอบการ Nvidia ออกมาสดใส หนุนบรรยากาศในตลาดการเงิน ก็อาจทำให้เงินดอลลาร์ย่อตัวลงบ้าง (แต่ไม่มากนัก จนกว่าตลาดจะมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนธันวาคม) หนุนให้ เงินบาทก็อาจแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยทดสอบโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจถูกจำกัดบ้างในระยะนี้ จากโฟลว์ธุรกรรมของผู้เล่นในตลาด อย่าง โฟลว์ซื้อเงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB) และโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมัน หลังราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงมาพอสมควร

         และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

         มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.55 บาท/ดอลลาร์

 


คลิปวิดีโอ