วันอังคาร ที่ 4 พฤศจิกายน 2568 14:16น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.51 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”

4 พฤศจิกายน 2025

        นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.51 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.49 บาทต่อดอลลาร์

        โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 32.43-32.52 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะมีจังหวะอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับจังหวะการย่อตัวลงบ้างของราคาทองคำ หลังผู้เล่นในตลาดต่างปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง จากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในช่วงนี้ ที่ต่างย้ำว่า แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดยังมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะการประชุม FOMC เดือนธันวาคม โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดได้ประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 66% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมเดือนธันวาคม และให้โอกาสราว 57% ที่เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปี 2026

        ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ Amazon +4.0% ตอบรับข่าวการทำข้อตกลงด้าน AI ระหว่าง Amazon กับ OpenAI (เจ้าของ ChatGPT) ทว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็เผชิญแรงกดดันบ้าง จากประเด็นความไม่แน่นอนของแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.17% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.46%

        ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.07% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มยานยนต์ ตอบรับความคาดหวังว่า Nexperia ผู้ผลิตชิปสำคัญในรถยนต์จะสามารถกลับมาส่งออกสินค้าได้อีกครั้ง ทั้งนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นยุโรปยังไม่รีบเปิดรับความเสี่ยงมากนัก เพื่อรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน

       ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นบ้างสู่ระดับ 4.10% ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดโดยบรรดาผู้เล่นในตลาด โดยเรายังคงประเมินว่า บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นได้ หากผู้เล่นในตลาดรับรู้ปัจจัยเชิงบวกที่อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลง อาทิ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาดชัดเจน อย่าง ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP เนื่องจากภาวะ Government Shutdown ของสหรัฐฯ ได้ทำให้ การประกาศข้อมูลการจ้างงานจากทาง BLS ถูกเลื่อนออกไป โดยหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

        ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้จะมีจังหวะทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง สอดคล้องกับการทยอยปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดโดยบรรดาผู้เล่นในตลาด ทว่า การปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไรและการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 99.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.7-100 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ภาพรวมของตลาดการเงินสหรัฐฯ ที่ยังคงเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง กอปรกับจังหวะปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ย่อตัวลงบ้าง สู่โซน 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง

        สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB อย่าง ประธาน ECB Christine Lagarde และ BOE

        ส่วนในฝั่งออสเตรเลียนั้น บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) อาจเลือกที่จะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.60% แต่อาจมีการส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมถ้าจำเป็นได้

        และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังเข้าสู่ภาวะ Government Shutdown เป็นวันที่ 34 เข้าสู่วันที่ 35 และมีแนวโน้มที่ภาวะ Government Shutdown ในครั้งนี้ อาจยาวนานเป็นประวัติการณ์ได้

        สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) อาจมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง และอาจเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways Up ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ยังคงได้แรงหนุนจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ต่างทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งขณะเดียวกัน ก็เป็นปัจจัยที่คอยกดดันให้ราคาทองคำมีจังหวะย่อตัวลง และยากที่จะเห็นราคาทองคำรีบาวด์สูงขึ้นต่อเนื่องได้ ยกเว้นจะเกิดภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ของตลาดการเงิน หรือปัจจัยความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์กลับมาร้อนแรงขึ้นในระยะสั้น

        อย่างไรก็ดี เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดได้ เนื่องจาก ในช่วงภาวะ US Government Shutdown ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดยังคงขาดการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงาน ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่ได้ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด อย่างมีนัยสำคัญ เช่น โอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนธันวาคม ก็อาจยังคงสูงกว่าระดับ 50% นอกจากนี้ เรามองว่า ในช่วงระยะสั้น ควรจับตาการพิจารณาคดีเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ซึ่งจะเริ่มการไต่สวนในวันที่ 5 พฤศจิกายน นี้ โดยหากเริ่มมีแนวโน้มที่ศาลสูงสุดจะยืนคำตัดสินของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ที่ระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act 1977 (IEEPA) ซึ่งอาจนำไปสู่การระงับมาตรการภาษีนำเข้าและมีโอกาสที่รัฐบาลสหรัฐฯ อาจต้องชดเชยภาษีนำเข้าที่ได้เรียกเก็บก่อนหน้า ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจกลับมากังวลแนวโน้มเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ได้อีกครั้ง (Fiscal Concerns) ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันให้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง แม้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวสูงขึ้น จากแรงขายบอนด์ระยะยาวสหรับฯ ก็ตาม ส่วนราคาทองคำก็มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้

         นอกจากนี้ เรามองว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดอย่างฝั่งผู้ส่งออก ต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ รวมถึงผู้เล่นในตลาดบางส่วนที่มีสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ก็อาจทยอยขายทำกำไร ปรับลดสถานะดังกล่าวได้บ้าง ทำให้ เงินบาท (USDTHB) ยังคงมีโซนแนวต้านในช่วง 32.65 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านแรก และมีโซน 32.85 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านถัดไป โดยเราจะกลับมาเชื่อว่า เงินบาทได้กลับสู่แนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.75 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following ขณะที่โซนแนวรับของเงินบาทนั้น จะอยู่ในช่วง 32.40-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามแรงซื้อของผู้เล่นในตลาดอย่างฝั่งผู้นำเข้า และมีโซนแนวรับถัดไปในช่วง 32.30 บาทต่อดอลลาร์

        และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลัก (อย่างล่าสุดที่เกิดขึ้นกับ BOJ จนส่งผลกระทบต่อเงินเยนญี่ปุ่น) ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

       มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.45-32.70 บาท/ดอลลาร์

 


ข่าวล่าสุด การเงิน หุ้น more
คลิปวิดีโอ