วันพุธ ที่ 17 ธันวาคม 2568 03:41น.

แกร็บ เผยเทรนด์ “เรียกรถ-ฟู้ดเดลิเวอรี” ประจำปี 2025

16 ธันวาคม 2025

          แกร็บ เผยข้อมูลเทรนด์ “ที่สุดแห่งปี 2025” ครอบคลุมทั้งบริการการเดินทางและสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน โดยในปีที่ผ่านมา “เทวาลัยพระพิฆเนศ” บริเวณสี่แยกห้วยขวางกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่มาแรงที่สุดด้วยยอดเรียกรถที่เติบโตขึ้นถึง 678% ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนยังคงติดอันดับชาติที่เรียกใช้บริการมากที่สุด โดยเฉพาะในช่วงโกลเด้นวีคที่เติบโตขึ้นถึงเกือบ 50% พบ “นครนายก” กลายเป็นจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรองที่มาแรงแห่งปี และคอนเสิร์ต Blackpink ทำยอดเรียกรถไปสนามราชมังฯ โตขึ้นเกือบ 5 เท่า ฟากบริการฟู้ดเดลิเวอรี เมนู “ส้มตำ” ยังคงครองแชมป์ต่อเนื่องด้วยยอดสั่งทั้งปีรวมกว่า 16 ล้านจาน ขณะที่เครื่องดื่ม “ชาเย็น” (ทั้งชาไทยและชานมไข่มุก) ล้มแชมป์เก่าอย่างอเมริกาโนเย็นด้วยยอดสั่งรวมกว่า 11 ล้านแก้วจากกระแสไวรัลชาไทยของลิซ่า ส่วนเมนูดาวรุ่งแห่งปีตกเป็นของ “ชิโอะปัง” “ชาองุ่นเคียวโฮ” และ “แฮนด์โรล”

บริการเรียกรถ:

           -บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ยังคงเติบโตและได้รับความนิยมทั้งจากผู้ใช้บริการชาวไทยและชาวต่างชาติ โดย 3 จุดหมายปลายทางหลักที่ผู้ใช้บริการนิยมเดินทางไปมากที่สุด คือ สนามบิน สถานีขนส่ง และห้างสรรพสินค้า โดยปีนี้ “เซ็นทรัลเวิลด์” มาแรงเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยเอ็มบีเค เซ็นเตอร์ (MBK Center) ไอคอนสยาม และสยามพารากอน ขณะที่แหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ พระบรมมหาราชวัง ถนนข้าวสาร และเยาวราช โดย “เทวาลัยพระพิฆเนศ” บริเวณสี่แยกห้วยขวาง กลายเป็นฮอตสปอตแห่งใหม่ที่มาแรงที่สุด ด้วยยอดเรียกรถที่เติบโตขึ้นถึง 678% เนื่องจากคนไทยสายมู รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมไปไหว้เพื่อขอพรเรื่องความสำเร็จและเสริมสิริมงคลให้กับชีวิต

         -แม้ว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะชะลอตัว แต่บริการเรียกรถผ่านแอปฯ ยังถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกหลักที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเลือกใช้บริการ โดย 5 ชาติที่ใช้บริการมากที่สุด คือ จีน สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ อังกฤษ และมาเลเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงโกลเด้นวีค (หรือวันชาติจีน ระหว่างวันที่ 1-7 ตุลาคม 2568) มีนักท่องเที่ยวจีนใช้บริการมากขึ้นกว่าช่วงปกติเกือบ 50% ขณะที่นักท่องเที่ยวจาก “ประเทศจอร์เจีย” ถือเป็นกลุ่มที่มาแรงที่สุดด้วยยอดใช้บริการที่เติบโตขึ้นกว่า 10 เท่า

         -ในด้านเมืองท่องเที่ยว นอกจากจังหวัดใหญ่อย่างเชียงใหม่ ภูเก็ตและพัทยา ที่ถือเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมและมีการใช้บริการเรียกรถเป็นอันดับต้น ๆ แล้ว จังหวัดเมืองรองก็ยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่อง ด้วยอานิสงส์ของนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล ทั้งโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” หรือมาตรการ “เที่ยวดีมีคืน” โดย 5 จังหวัดเมืองรองที่มียอดใช้บริการเรียกรถสูงที่สุด คือ อุดรธานี อุบลราชธานี เชียงราย พิษณุโลก และนครสวรรค์  ขณะที่ “นครนายก” ถือเป็นจังหวัดที่มาแรงที่สุดด้วยยอดเรียกรถที่เติบโตขึ้นกว่า 9 เท่า เนื่องจากเดินทางใกล้ สามารถไปเช้าเย็นกลับได้ และมีแหล่งท่องเที่ยวไฮไลท์สำคัญอย่างเขื่อนขุนด่านปราการชล น้ำตกนางรอง อุทยานวังตะไคร้ รวมถึงทุ่งบัวแดง

         -เทศกาลเชิงวัฒนธรรมและอีเวนท์ยังถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการเดินทางและท่องเที่ยว โดยปีนี้ เทศกาลลอยกระทง โดยเฉพาะประเพณียี่เป็งในจังหวัดเชียงใหม่ มียอดเรียกใช้บริการเติบโตขึ้นถึง 44% รองลงมาคือ เทศกาลสงกรานต์ ด้านคอนเสิร์ตของศิลปินไทยและเทศก็ยังคงส่งผลให้ยอดใช้บริการเรียกรถเติบโตขึ้น โดยเฉพาะคอนเสิร์ต BLACKPINK WORLD TOUR <DEADLINE> IN BANGKOK ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-26 ตุลาคม ทำให้ยอดเรียกรถเพื่อเดินทางไปราชมังคลากีฬาสถานเติบโตขึ้นเกือบ 5 เท่าจากช่วงปกติ

         -หลังเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบในปีที่ผ่านมา บริการเรียกรถในราคาประหยัดอย่าง SAVER ทั้งรถยนต์ (GrabCar SAVER) และรถจักรยานยนต์ (GrabBike SAVER) ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลายด้วยยอดใช้บริการที่เติบโตขึ้นกว่า 289% สะท้อนถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่มองหาตัวเลือกของบริการในราคาที่ถูกลงในยุคที่ทุกคนต้องรัดเข็มขัด บริการจองรถล่วงหน้า (Advance Booking) ก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราการเติบโตสูงกว่า 50% โดยผู้ใช้บริการส่วนใหญ่นิยมเรียกใช้เพื่อเดินทางไปสนามบิน ขณะที่ฟีเจอร์รักษ์สิ่งแวดล้อมอย่าง “Grab EV Rides” ที่ช่วยเพิ่มโอกาสค้นหารถ EV เพื่อให้บริการเป็นตัวเลือกแรก ยังได้รับความสนใจจากผู้ใช้บริการ โดยสะท้อนผ่านยอดเรียกใช้บริการที่เติบโตขึ้นถึง 58%

บริการฟู้ดเดลิเวอรี:

           -อาหารประจำชาติอย่าง “ส้มตำ” ยังคงครองแชมป์เมนูที่ขายดีที่สุดด้วยยอดสั่งกว่า 16 ล้านจานต่อปี โดยเฉพาะส้มตำปูปลาร้าที่มียอดสั่งสูงที่สุด รองลงมาคือข้าวมันไก่ ด้วยยอดขายกว่า 1.5 ล้านจาน จากกระแสไวรัลของ Gundum Effect ในญี่ปุ่นที่ส่งผลมาถึงความนิยมของเมนูข้าวมันไก่ในประเทศไทย และตามมาด้วยลาบหมู ด้วยยอดขายกว่า 1 ล้านจาน

          -ฟากเครื่องดื่มขายดี ปีนี้เมนู “ชาเย็น” (ทั้งชาไทยและชานมไข่มุก) มาแรงแซงหน้าแชมป์เก่าอย่างอเมริกาโนเย็น ด้วยยอดสั่งรวมทั้งปีกว่า 11 ล้านแก้ว จากอิทธิพลของลิซ่าที่ร่วมทำคอลแลปกับ Erawhon ในชื่อเมนู “Thai up the World by Lisa” จนกลายเป็นไวรัลไปทั่วโลก รองลงมาคือเมนูชาเขียวสุดฮิตด้วยยอดขายกว่า 9 ล้านแก้ว จากกระแสมัทฉะฟีเวอร์ที่ขาดตลาดจนกลายเป็นไวรัลข้ามปี เขย่าตลาดกวาดความนิยมทั้งเครื่องดื่มและเบเกอรี ขณะที่ “อเมริกาโนเย็น” ตกมาอยู่อันดับสามด้วยยอดสั่งรวมกว่า 8 ล้านแก้ว

         -ฮอทไอเท่มดาวรุ่งพุ่งแรงประจำปีในกลุ่มเบเกอรีหนีไม่พ้น “ชิโอะปัง” หรือขนมปังเกลือที่มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น ไปดังในเกาหลี จนไวรัลมาถึงไทย ด้วยยอดขายที่เติบโตขึ้นกว่า 36 เท่า ขณะที่ “ชาองุ่นเคียวโฮปั่นทอปอัปด้วยครีมชีส” มาแรงสุดในกลุ่มเครื่องดื่มด้วยยอดขายที่เติบโตขึ้นกว่า 17 เท่า และที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ คือ “แฮนด์โรล” เมนูฮิตติดลมบนที่มาแรงสุดๆ ในสายฟู้ดดี้ ช่วยสร้างประสบการณ์การกินแบบโอมากาเสะในราคาที่เข้าถึงง่าย โดยมียอดสั่งที่เติบโตขึ้นกว่า 300%

         -การคอลแลปกันระหว่างแบรนด์ (Collaboration Marketing) ยังคงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างสีสันและความแปลกใหม่ในปีที่ผ่านมา โดยสุดยอดคอลแลปเมนูที่ขายดีที่สุดในปีนี้ คือ โปรเจกต์ “Proudly, Made in Thailand” ที่แบรนด์ทาร์ตไข่สเปเชียลตี้ยอดนิยมอย่าง YOLK ได้ผนึกความร่วมมือกับ 4 แบรนด์ไทยชั้นนำ อันได้แก่ โอ้กะจู๋ โรงคั่วกาแฟทรงวาด แก้วบูทีค และเจี้ยนชา รังสรรค์เมนูคอลแลปส์ 4 รสชาติพิเศษที่สร้างความภาคภูมิใจให้คนไทย ซึ่งช่วยดันให้ยอดขายต่อวันเติบโตขึ้น 48 %

         -นอกจากการสั่งอาหารผ่านฟู้ดเดลิเวอรีแล้ว เทรนด์การกินที่ร้านก็เติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยผู้ใช้บริการเลือกซื้อดีลส่วนลดและใช้บริการจองร้านผ่านแอปพลิเคชันในโอกาสพิเศษหรือไปรับประทานอาหารกันเป็นกลุ่ม โดย 3 ประเภทร้านที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ บุฟเฟต์ ร้านปิ้งย่าง และร้านอาหารญี่ปุ่น ขณะที่ร้านที่มาแรงที่สุดแห่งปี คือ “Kanori Hand Roll Bar” ที่ถือเป็นผู้บุกเบิกร้านแฮนด์โรลสไตล์ญี่ปุ่นเจ้าแรกในไทย ด้วยยอดขายเติบโตกว่า 5 เท่าในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

         -โครงการที่มาแรงที่สุดแห่งปีหนีไม่พ้น “คนละครึ่งพลัส“ ที่ช่วยกระตุ้นยอดขายให้ผู้ประกอบการร้านอาหารทั้งหน้าร้านและผ่านเดลิเวอรี โดยผู้บริโภคนิยมใช้คนละครึ่งพลัสสั่งอาหารในมื้อเที่ยงมากที่สุด โดยมียอดสั่งเฉลี่ยประมาณ 80–120 บาทต่อออเดอร์ และคนกรุงเทพฯ ครองแชมป์การใช้คนละครึ่งพลัสผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรีมากที่สุด ขณะที่ร้านอาหารที่ขายดีที่สุดผ่านแกร็บคือ “สยามกะเพราคาเฟ่-บรรทัดทอง” โดยมียอดขายเติบโตเฉลี่ยสูงกว่าปกติถึง 14 เท่า


คลิปวิดีโอ