“บมจ.ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล” เปิดแผนรุกครึ่งปีหลัง มุ่งยกระดับสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทั่วภูมิภาคเอเชีย รับอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ยาเติบโตโดดเด่น เตรียมส่งมอบเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพใหม่ 13 SKUs เพื่อตอบสนองเป้าหมายในการเติบโตในธุรกิจ healthcare ในทุกช่องทาง พร้อมชูเป็น “One-Stop-Service” บุกช่องทางคลินิกความงาม นำโพรโพลิซ เจาะตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ทั้งในทวีปเอเชีย และตะวันออกกลาง สู่เป้าหมายเติบโตตามโรดแมป 3 ปี
นายประพล ฐานะโชติพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้นำธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในประเทศไทย เปิดเผยว่า แผนธุรกิจครึ่งปีหลัง บริษัทฯ มุ่งมั่นส่งมอบผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพให้ทุกคนใช้ยาได้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยจะเป็นกำลังสำคัญในการสร้างสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีแก่สังคมไทยและภูมิภาคเอเชีย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดียิ่งขึ้นอย่างยั่งยืน ซึ่งบริษัทฯ เดินตามโรดแมป 3 ปี (2567-2569) จะขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้ 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1.ยาแผนปัจจุบัน วางเป้าหมายมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 10-12% ต่อปี 2.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร อาหารเสริม และเครื่องสำอาง มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 13-15% ต่อปี สร้างความหลากหลายในพอร์ตโฟลิโอ และ 3.ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอื่น ๆ คาดการณ์เติบโตเฉลี่ย 60-65% ต่อปี
โรดแมปดังกล่าวจะดำเนินการผ่านกลยุทธ์ 5 ด้าน ได้แก่ 1.การเปิดตัวผลิตภัณฑ์แบบไดนามิกทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ 18 รายการ (SKUs) ในปี 2568 ซึ่งไตรมาสแรกนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ 5 รายการ (SKUs) และจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง อาทิ แบรนด์ Vita-C ผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินซี ไมด้า และ โพล่าร์ สเปรย์ปรับอากาศ (POLAR) และ ยาแผนปัจจุบัน 2.การขยายฐานลูกค้ากลุ่มโรงพยาบาล จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนองความต้องการโรงพยาบาลและผลักดันโพรโพลิซ พลัส (Propoliz Pluz) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนปัจจุบันขยายสู่โรงพยาบาลเอกชนเพิ่มขึ้น อีกทั้งขยายทีมงานโรงพยาบาลมุ่งสร้างแบรนด์องค์กรและการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของโรงพยาบาลที่เพิ่มขึ้นระหว่างปี 2567-2569 คาดว่าครึ่งปีหลังจะสามารถขยายลูกค้ากลุ่มโรงพยาบาล และ จำนวนยาที่เข้าโรงพยาบาลได้มากขึ้น 3.การขยายตลาดความงามผ่านการขยายแบรนด์ “Rejunae” โดยจะเดินหน้าแนะนำผลิตภัณฑ์ความงามและเครื่องมือแพทย์ใหม่ ๆ เพื่อให้ TMAN เป็น “One-Stop-Service” ของผลิตภัณฑ์ความงาม ซึ่งจะขยายลูกค้ากลุ่มคลินิกความงามทั่วประเทศไทย จากที่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาสามารถขยายฐานคลินิกความงามได้มากขึ้นผ่านกิจกรรมที่ทำร่วมกับคลินิกความงาม และตั้งเป้าหมายที่จะขยายฐานลูกค้ามากขึ้น ยกระดับมาตรฐานความงามของประเทศไทยสู่สากล
4.การขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ โดยจะมุ่งสร้างแบรนด์ “โพรโพลิซ” (Propoliz Series) ในประเทศมาเลเซียและฮ่องกง หลังจากที่กระจายสินค้าได้อย่างแพร่หลายจากการมีพันธมิตรท้องถิ่นที่แข็งแกร่ง ส่วนประเทศจีนจะปรับกลยุทธ์รุกขยายตลาดออฟไลน์และออนไลน์ให้เหมาะสมมากขึ้น ทั้งยังเดินหน้าขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์ยาในตลาดใหม่ เช่น เกาหลีใต้, ฟิลิปปินส์ เป็นต้น พร้อมทั้งมองหาโอกาสเพิ่มเติมในตะวันออกกลาง อาทิ ซาอุดีอาระเบีย, ดูไบ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโต 10-15% ต่อปี ระหว่างปี 2567-2569 5.สร้างความแข็งแกร่งของบริการรับจ้างผลิตสินค้า ภายใต้แบรนด์ของลูกค้า (OEM) โดยจะจัดตั้งทีมพัฒนาธุรกิจเพื่อดึงดูดลูกค้าที่มีศักยภาพสูง ซึ่งได้ทยอยเซ็นสัญญากับลูกค้าหลายรายและคาดว่าจะเริ่มผลิตสินค้าครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ยังมุ่งมั่นเป็นผู้จัดจำหน่าย (ดิสทริบิวเตอร์) ผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์ยา ผลิตภัณฑ์สุขภาพแบบครบวงจร และวางแผนยกระดับประสิทธิภาพการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ภาพรวมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์ยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในประเทศไทย ช่องทางร้านขายยาของประเทศไทย มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 6.2% โดยยาบรรเทาอาการไอและหวัดเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดและมีการเติบโตต่อปี 8.2% ช่องทางโรงพยาบาล มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 6.5% อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ล่าสุดในวันที่ 1-7 มิถุนายน 2568 มีผู้ป่วยรายใหม่ 105,225 ราย ผู้ป่วยสะสม 400,155 ราย (กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข) จะส่งผลให้ยาที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ “โพรโพลิซ” (Propoliz Series) ยาแก้ไอ ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น ส่วนตลาดเภสัชภัณฑ์ทั่วโลก คาดการณ์ว่าจะมีรายได้สูงถึง 1.21 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568 และคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราเฉลี่ยต่อปี 4.8% ส่วนตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรทั่วโลก มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 5%
“TMAN ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในการดำเนินงาน และกระจายความเสี่ยง (Diversify) ด้วยการขยายธุรกิจรอบด้าน ปรับสัดส่วนผลิตภัณฑ์สู่ยาแผนปัจจุบัน ทั้งยังสร้างโอกาสเติบโตโดยการจับมือร่วมกับพันธมิตร ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและขยายขีดความสามารถของเราในหลากหลายมิติ และด้วยการวางกลยุทธ์ขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญ เรามั่นใจว่าบริษัทฯ จะสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2568 และต่อเนื่องไปถึงปี 2572 โดยมีเป้าหมายการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อปี 10-15% และก้าวขึ้นเป็น Top 3 ในช่องทางร้านขายยาในประเทศและอยู่ใน Top 10 ผู้จัดจำหน่ายยาในช่องทางโรงพยาบาล รวมถึงก้าวเป็นริจินัลแบรนด์ โดยเรายังคงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมใหม่ ทำให้ผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์ยา เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย ทั้งในร้านขายยาชั้นนำ โรงพยาบาล และแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการใช้ยาได้อย่างทั่วถึง” นายประพล กล่าว