วันพุธ ที่ 12 พฤศจิกายน 2568 10:22น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.39 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”

12 พฤศจิกายน 2025

        นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.39 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา

         โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 32.36-32.47 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะเคลื่อนไหวผันผวนตามจังหวะการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์และราคาทองคำ โดยเงินดอลลาร์มีจังหวะทยอยอ่อนค่าลง หนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 32.36 บาทต่อดอลลาร์ หลังรายงานข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนรายสัปดาห์ โดย ADP สะท้อนว่า ภาคเอกชนสหรัฐฯ ลดการจ้างงาน 11,250 ราย ต่อสัปดาห์ โดยเฉลี่ย ในช่วง 4 สัปดาห์ จนถึงวันที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาประเมินว่า ภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง เพิ่มโอกาสการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟดได้ (ตลาดให้โอกาสราว 68% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้ และราว 72% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปี 2026) อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลง และเงินบาทก็พลิกกลับมาอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามจังหวะการปรับตัวลดลงของราคาทองคำ ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์ก็ทยอยรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง จากความหวังของผู้เล่นในตลาดว่า ภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงได้ในเร็ววันนี้ นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่กลับมาร้อนแรงขึ้น ก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลง หลังราคาทองคำทยอยรีบาวด์สูงขึ้น ตามภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดการเงินสหรัฐฯ 

        บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม แม้ในภาพรวมตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะพอได้แรงหนุนจากความหวังว่า ภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงได้ภายในสัปดาห์นี้ ทว่า แรงขายหุ้นธีม AI/Semiconductor ยังคงมีอยู่ อาทิ Nvidia -3.0% ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.21% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พลิกกลับมาย่อลง -0.25%

        ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +1.28% หนุนโดยความหวังว่า ภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงในเร็ววันนี้ นอกจากนี้ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษที่ส่งสัญญาณชะลอตัวลงเพิ่มเติม ก็หนุนให้ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีโอกาสราว 85% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม นี้ ส่งผลดีต่อบรรดาหุ้นในตลาดอังกฤษ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Healthcare อย่าง AstraZeneca +2.6%

        ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลง สู่ระดับ 4.08% ตามการทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด จากรายงานข้อมูลการจ้างงานรายสัปดาห์ของ ADP ที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานชะลอตัวลงมากขึ้น อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดยังไม่รีบปรับสถานะถือครองและไล่ราคาซื้อบอนด์ระยะยาวมากนัก เพื่อรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากทางการสหรัฐฯ หลัง ภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงได้ในเร็ววันนี้ อีกทั้งยังมีประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ ทำให้ เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจเคลื่อนไหวผันผวนได้ในช่วงนี้ ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ภาวะตลาดการเงินโดยรวม และประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้า อย่างไรก็ตาม หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

         ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง ตามรายงานข้อมูลการจ้างงานรายสัปดาห์ โดย ADP ล่าสุด ที่สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ชะลอตัวลงมากขึ้น ทว่า เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากภาวะระมัดระวังตัวของตลาดการเงินโดยรวม อีกทั้งผู้เล่นในตลาดยังไม่รีบปรับสถานะถือครอง จนกว่าจะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากทางการสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงบ้าง สู่โซน 99.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.2-99.7 จุด)  ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าราคาทองคำจะเผชิญแรงกดดันบ้าง ตามความหวังภาวะ US Government Shutdown อาจสิ้นสุดลงภายในสัปดาห์นี้ และแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ทว่า ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดย ADP ล่าสุด สะท้อนภาพตลาดแรงงานที่ยังคงชะลอตัวลงมากขึ้น ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) สามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้นเข้าใกล้โซน 4,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง 

        สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และเฟด ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางหลักดังกล่าว โดยผู้เล่นในตลาดอาจให้ความสนใจกับ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด หลังรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ล่าสุด ยังคงสะท้อนภาพตลาดแรงงานที่ชะลอตัวลงชัดเจนมากขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังมีความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมของเฟด

         และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึง พัฒนาการของสถานการณ์การเมืองสหรัฐฯ หลังภาวะ Government Shutdown ที่ยืดเยื้ออาจยุติลงได้ในเร็ววันนี้ และเริ่มมีการไต่สวนคดีมาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) นอกจากนี้ ควรติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่กลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินไทยในระยะสั้นบ้าง

         สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยโซนแนวต้านยังคงอยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับยังอยู่แถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะยังไม่รีบปรับสถานะถือครองที่ชัดเจน หลังภาวะ US Government Shutdown มีแนวโน้มจะยุติลงภายในสัปดาห์นี้ ทำให้ ผู้เล่นในตลาดจะทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากทางการสหรัฐฯ ได้ โดยหลังจากที่หน่วยงานทางการของสหรัฐฯ เริ่มกลับมาทำงานตามปกติ เรามองว่า ภายใน 2 วัน อาจจะสามารถทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากทาง BLS อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนกันยายน ส่วนในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ก็อาจทยอยรับรู้ ยอดการจ้างงานฯ ในเดือนตุลาคม ได้ รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ ทำให้ เราขอเน้นย้ำว่า ในช่วงหลังภาวะ US Government Shutdown สิ้นสุดลง ผู้เล่นในตลาดจะเผชิญกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง หรือ Data Bombardment ซึ่งอาจทำให้ตลาดการเงินผันผวนสูงขึ้นได้ไม่ยาก และควรระมัดระวังความผันผวนของตลาดการเงินในช่วงดังกล่าว

          ทั้งนี้ ในช่วงนี้ ประเด็นความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา กลับมาร้อนแรงขึ้น ก็อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินไทยในระยะสั้นได้ ซึ่งอาจเป็นภาพที่กดดันตลาดการเงินไทยและกดดันเงินบาทได้บ้าง อย่างไรก็ดี ในส่วนของเงินบาทนั้น เราพบว่า หากตลาดกลับมาเชื่อมั่นในแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ย และบรรยากาศในตลาดการเงินอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว หรือ ปิดรับความเสี่ยง ผู้เล่นในตลาดอาจเลือกที่จะถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย รวมถึง เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) มากกว่าจะถือครองเงินดอลลาร์ หนุนให้ เงินบาทมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หรืออย่างน้อยก็ช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้

         และเนื่องจาก ความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

         มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.50 บาท/ดอลลาร์

 

 


คลิปวิดีโอ