นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.92 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 31.80 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 31.78-31.96 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ทั้ง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) ล้วนออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายความกังวลต่อแนวโน้มการชะลอตัวลงของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ลงบ้าง นอกจากนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาสดใส กอปรกับแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด ได้หนุนบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ของตลาดการเงินสหรัฐฯ โดยทั้งการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดังกล่าว ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) ย่อตัวลงต่อเนื่อง ก่อนที่จะแกว่งตัวแถวโซน 3,640 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ แม้เงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า แต่การอ่อนค่าของเงินบาทก็ยังคงถูกชะลอลงจากแรงขายเงินดอลลาร์และการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทยอยกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หนุนโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานที่ออกมาสดใส ดีกว่าคาด และแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Nvidia +3.5% ก็มีส่วนส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.48%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.80% ตอบรับแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งส่งผลดีต่อบรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth นอกจากนี้ บรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor ยังปรับตัวขึ้นแรง อาทิ ASML +7.7% จากอานิสงส์ แนวโน้มการเข้าลงทุนครั้งใหญ่ของ Nvidia ส่วนหุ้นกลุ่มยา อย่าง Novo Nordisk +6.2% ก็ได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มความต้องการยาเบาหวานที่ยังคงเติบโตได้ดี
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด กอปรกับภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด รวมถึง คาดการณ์ดอกเบี้ยเฟด (Dot Plot) ใหม่ ที่สะท้อนแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ที่น้อยกว่าความคาดหวังของตลาด ได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 4.11% โดยเราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลง ซึ่งต้องจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอย่างใกล้ชิด อนึ่ง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาสดใส นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้เพิ่มแรงกดดันต่อเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ซึ่งอ่อนค่าลงเหนือระดับ 148 เยนต่อดอลลาร์ อีกครั้ง อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไรและการปรับสถานะของผู้เล่นในตลาด ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวสูงขึ้นสู่โซน 97.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 96.8-97.6 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) พลิกกลับมาปรับตัวลดลง สู่โซน 3,670 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งเราประเมินว่า BOJ อาจคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% แม้อัตราเงินเฟ้อ CPI โดยเฉพาะในส่วนของ Core-Core CPI ซึ่งไม่รวมราคาอาหารสดและพลังงาน จะอยู่ในระดับสูงเกินเป้าหมาย 2% ของ BOJ ทว่า ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่นก็อาจทำให้ BOJ สามารถชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปก่อนได้ โดยเรามองว่า BOJ ยังมีโอกาสที่จะกลับมาเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 0.75% ได้ในช่วงปลายปีนี้
และในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของอังกฤษ ในเดือนสิงหาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB)
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ และมีโอกาสอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวได้ไม่ยาก หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด อย่าง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ทำให้ ผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า เฟดอาจไม่จำเป็นต้องเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องและลดดอกเบี้ยได้หลายครั้ง ตามที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ได้
นอกจากนี้ เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม หากราคาทองคำเผชิญแรงกดดันและย่อตัวลง ซึ่งเรามองว่าเป็นเรื่องปกติ หลังในช่วงก่อนหน้า ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้น ต่อเนื่อง ในช่วงระยะสั้น ทำให้ในช่วงนี้ที่ราคาทองคำขาดปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติม ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรออกมาบ้าง หรือบางส่วนก็อาจมีการปิดสถานะ เช่น cut losses ออกมาก่อน อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า การย่อตัวของราคาทองคำ (XAUUSD) อาจพอมีโซนแนวรับ ในช่วง 3,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากราคาทองคำปรับตัวลงหลุดโซนดังกล่าว ก็อาจปรับตัวลงได้ต่อเนื่อง อีกพอสมควรในช่วงระยะสั้นได้
ส่วนในฝั่งฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาตินั้น เรามองว่า ในช่วงระยะสั้น อาจยังพอเห็นแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติได้บ้าง ทว่า ในส่วนของตลาดบอนด์นั้น เรามองว่า นักลงทุนต่างชาติ ต่างก็รอจับตา Market Dialogue จากทาง PDMO เพื่อประเมินแนวโน้มการออกบอนด์ของไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มบอนด์ยีลด์ไทยในระยะสั้น โดยในช่วงที่ผ่านมา บอนด์ยีลด์ไทยได้ปรับตัวสูงขึ้นพอสมควรในช่วงระยะสั้น จากการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด และผลการประมูลบอนด์ในช่วงก่อนหน้าที่ความต้องการอ่อนแอกว่าในอดีต ทำให้หากมีประเด็นความกังวลต่อแนวโน้มการออกบอนด์ของไทยเพิ่มเติม ก็อาจกดดันให้บอนด์ยีลด์ไทยปรับตัวขึ้นได้อีกครั้ง แต่เรามองว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดก็อาจรอทยอยเข้าซื้อบอนด์ไทยในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นได้
อนึ่ง หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน เรามองว่า เงินบาทเสี่ยงกลับเข้าสู่แนวโน้มการอ่อนค่าลงอีกครั้ง เมื่อพิจารณาจากกลยุทธ์ Trend-Following อีกทั้ง เราพบว่า บรรดานักวิเคราะห์ต่างชาติหลายแห่ง ได้ทยอยประเมินความเสี่ยงเงินบาทอาจอ่อนค่าลง และมีการแนะนำ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ซึ่งหากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้จริง ก็อาจเห็นโฟลว์ธุรกรรม Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) เพิ่มเติม จากบรรดาผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะฝั่งผู้เล่นต่างชาติ
เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.80-32.05 บาท/ดอลลาร์