นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.68 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 31.82 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทะลุโซนแนวรับ 31.85 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 31.66-31.86 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ซึ่งมาพร้อมกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องของราคาทองคำ หลังผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า แนวโน้มการชะลอตัวลงต่อเนื่องของตลาดแรงงานสหรัฐฯ หลังรายงานข้อมูลการจ้างงานล่าสุดออกมาแย่กว่าคาดไปมาก จะหนุนให้ เฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ราว 3 ครั้ง ในปีนี้ (โอกาสราว 88%) และผู้เล่นในตลาดยังมองว่า เฟดอาจมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน นี้ได้ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม จากการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) ตอบรับผลโหวตมติไว้วางใจ (Vote of Confidence) นายกฯ François Bayrou ซึ่ง นายกฯ ได้พ่ายแพ้ในการโหวตมติไว้วางใจดังกล่าวตามคาดการณ์ของตลาด และจะนำไปสู่การเลือกนายกฯ คนใหม่ ในเร็ววันนี้ และนอกเหนือจากการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ รวมถึงอานิสงส์จากโฟลว์ธุรกรรมทองคำ การปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด อย่าง การ Stop Loss ของฝั่งสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ก็มีส่วนหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทด้วยเช่นกัน
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Broadcom +3.2%, Amazon +1.5% ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด ทว่า ผู้เล่นในตลาดยังไม่รีบเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นมาพอสมควรในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.21%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.52% หลังนายกฯ François Bayrou ได้พ่ายแพ้ในการโหวตมติไว้วางใจ ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกนายกฯ คนใหม่ ในเร็ววันนี้ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรป ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ธีม AI/Semiconductor อาทิ ASML +2.5% ตามความคาดหวังต่อแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดที่สูงขึ้น ซึ่งหนุนการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ฝั่งสหรัฐฯ เช่นกัน
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยเฉพาะ การเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ของเฟด ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน นี้ ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.04% ทั้งนี้ เนื่องจาก เรามีมุมมองที่ต่างจากผู้เล่นในตลาด ซึ่งมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ (เราปรับมุมมองใหม่ว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ หลังรายงานข้อมูลการจ้างงานล่าสุด แย่กว่าคาด) ทำให้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอควร ในช่วงระยะสั้น จึงมีความเสี่ยงที่อาจจะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดลงบ้าง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ หากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ยังคงปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลักก็ยังคงอยู่ เราจึงมองว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (ไม่ควรไล่ราคาซื้อ เนื่องจากในช่วงนี้ Risk-Reward อาจไม่คุ้มค่า) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ ความกังวลต่อสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสที่คลี่คลายลงบ้าง หลังนายกฯ François Bayrou แพ้ในการโหวตมติไว้วางใจตามคาด นำไปสู่การเลือกนายกฯ คนใหม่ในเร็ววันนี้ ก็มีส่วนหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่โซน 97.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.3-97.8 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามการทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดของผู้เล่นในตลาด ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ทว่า ราคาทองคำก็เผชิญแรงกดดันบ้างจากโฟลว์ขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ส่งผลให้ ราคาทองคำล่าสุดแกว่งตัวแถวโซน 3,670-3,680 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะในส่วนของการจ้างงาน ซึ่งจะมีผลต่อการปรับนโยบายการเงินของเฟด ผ่านรายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจขนาดเล็ก (NFIB Small Business Optimism) เดือนสิงหาคม รวมถึง การปรับปรุงข้อมูลการจ้างงานในช่วง 12 เดือน จนถึงเดือนมีนาคม 2025 (BLS Preliminary Benchmark Revision to Establishment Survey Data) ซึ่งอาจยิ่งสะท้อนภาพการจ้างงานสหรัฐฯ ที่ชะลอลงมากขึ้นได้ อาทิ ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในช่วง 12 เดือน จนถึงเดือนมีนาคม 2025 อาจลดลงจากที่รายงานก่อนหน้า เฉลี่ยเดือนละ 3-5 หมื่นตำแหน่ง
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาพัฒนาการของสถานการณ์การเมือง ทั้งในฝั่งไทย ญี่ปุ่น และฝรั่งเศส
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า เงินบาท (USDTHB) ได้แข็งค่าขึ้น มากกว่าที่เราประเมินไว้ในตอนแรก (กรอบล่างของทั้งสัปดาห์ 31.85 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์ ยังคงทยอยอ่อนค่าลง พร้อมกับการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ การปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่าง การ Stop Loss สถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) ก็มีส่วนเร่งการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทเช่นกัน
ทั้งนี้ เรามองว่า เงินบาทยังมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นต่อได้บ้างและมีโอกาสแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะทยอยรับรู้ในวันนี้ ตั้งแต่ช่วง 17.00 น. ตามเวลาประเทศไทย สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง จากที่ตลาดเคยประเมินไว้ ทำให้ ผู้เล่นในตลาดอาจคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดมากขึ้น ซึ่งอาจสะท้อนผ่านการปรับเพิ่มโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ และโอกาสที่เฟดจะเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน
อย่างไรก็ดี หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นทดสอบโซน 31.50 บาทต่อดอลลาร์ หรือแข็งค่าทะลุระดับดังกล่าว ได้จริง ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด เรามองว่า เงินบาทยังมีโอกาสพลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้าง เมื่อตลาดทยอยรับรู้ รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI และอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง หากทั้งสองข้อมูลดังกล่าว สะท้อนแนวโน้มการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ จากผลกระทบของนโยบายการค้าของรัฐบาล Trump 2.0
นอกจากนี้ ประเด็นการเมืองฝรั่งเศสก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ อีกทั้งตลอดทั้งสัปดาห์ จนถึงวันที่ 18 กันยายน นี้ ก็อาจมีการประท้วงเกิดขึ้นหลายครั้ง รวมถึง ทาง Fitch Rating ก็จะมีการรีวิวอันดิบเครดิตเรทติ้งของฝรั่งเศส ซึ่งอาจกลับมาสร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์ฝรั่งเศสและเงินยูโร (EUR) ได้บ้าง เช่นเดียวกัน กับความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่น ที่อาจทำให้ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องอย่างชัดเจนในระยะสั้นได้ยากมากขึ้น
ส่วนในการประเมิน Valuation ของเงินบาท ผ่านโมเดล BEER ของเรานั้น พบว่า เงินบาทที่ระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ หรือแข็งค่าขึ้นกว่านั้น จะเป็นการแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ -2 SD (เทียบ Fair Value แถว 34-35 บาทต่อดอลลาร์) ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมา เราพบว่า เงินบาทก็มีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงบ้าง จากระดับแข็งค่ามากดังกล่าว ในช่วง 1-2 ไตรมาสข้างหน้า
อนึ่ง เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.55-31.80 บาท/ดอลลาร์