วันพฤหัสบดี ที่ 26 มิถุนายน 2568 14:35น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.51 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”

26 มิถุนายน 2025

        นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.51 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.62 บาทต่อดอลลาร์

        โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องทดสอบโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 32.50-32.67 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ซึ่งมาจากทั้งโฟลว์ธุรกรรมขายเงินดอลลาร์ในฝั่งของบรรดาบริษัทเอกชน (จากการสำรวจของนักวิเคราะห์หลายๆ ที่) ในช่วงปลายเดือน รวมถึงการทยอยลดสถานะถือครองเงินดอลลาร์ ตามสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทยอยคลี่คลายลง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเตรียมเสนอรายชื่อประธานเฟดคนใหม่ภายในช่วง Summer ของสหรัฐฯ ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า “ว่าที่” ประธานเฟดคนใหม่ อาจมีแนวโน้มดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดต่างเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ และอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมตามการรีบาวด์สูงขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) จากโซนแนวรับแถว 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับ 3,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

        บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว โดยส่วนหนึ่งมาจากการทยอยขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน และแม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อย่าง Nvidia +4.3% ทว่า รายงานยอดขายของ Tesla ในยุโรปที่ดิ่งลงกว่าคาด ก็มีส่วนกดดันให้ราคาหุ้น Tesla ดิ่งลงกว่า -3.8% กดดันตลาดโดยรวมเช่นกัน ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดลดลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง 

       ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.74% แม้ว่าสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางจะทยอยคลี่คลายลง ทว่าผู้เล่นในตลาดก็เริ่มกลับมากังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังเข้าใกล้กำหนดครบการพักเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ทำให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะทยอยขายทำกำไรหุ้นยุโรป หลังการรีบาวด์ในช่วงระยะสั้นล่าสุด

        ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บรรยากาศของตลาดการเงินที่อยู่ในภาวะระมัดระวังตัว กอปรกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.28% อย่างไรก็ดี การปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ดูจะจำกัดลง หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ซึ่งเราก็มองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอควร และอยู่ในโซนที่ยังไม่น่าสนใจทยอยเข้าซื้อ (อาจเริ่มน่าสนใจในการทยอยขายทำกำไรบ้าง หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อ สำหรับผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ตั้งแต่ในช่วง บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ สูงกว่าระดับ 4.50%) ซึ่งเราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หรือ บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เช่น โซน 4.50% สำหรับ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในการทยอยเข้าซื้อ เพื่อ Risk-Reward ที่น่าสนใจกว่า

        ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง ตามการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมขายเงินดอลลาร์โดยสุทธิของบรรดาบริษัทเอกชน ในช่วงปลายเดือน นอกจากนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า เฟดยังมีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อได้ราว 3 ครั้ง ในปีนี้ และอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า (ตลาดให้โอกาสราว 55%) ก็มีส่วนกดดันให้เงินดอลลาร์เพิ่มเติม ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง สู่ระดับ 97.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.4-98.2 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะดูทยอยคลี่คลายลง ทว่าความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็เริ่มกลับเข้ามาช่วยหนุนความต้องการถือทองคำ กอปรกับ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็มีจังหวะปรับตัวลดลง หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) สามารถทยอยรีบาวด์สูงขึ้น สู่โซน 3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์

        สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้ง คาดการณ์ครั้งสุดท้ายของอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี 2025  ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) ในเดือนพฤษภาคม และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในอนาคต

        ส่วนในฝั่งเอเชีย ในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลตลาดแรงงานญี่ปุ่น ในเดือนพฤษภาคม รวมถึง รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของกรุงโตเกียว ในเดือนมิถุนายน และรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของญี่ปุ่น ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)     

        นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า อย่าง จีน รวมถึงพัฒนาการของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง   

        สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นยังมีกำลังอยู่ โดยเฉพาะในจังหวะที่เงินดอลลาร์ก็ทยอยอ่อนค่าลง ส่วนราคาทองคำก็มีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้นบ้างจากโซนแนวรับ อย่างไรก็ดี เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจชะลอลงบ้าง เนื่องจากในฝั่งตลาดการเงินไทย บรรดาผู้เล่นในตลาด อย่างฝั่งผู้นำเข้า อาจทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์บ้าง แถวโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ หรือระดับแข็งค่ากว่านั้นเล็กน้อย ในช่วงปลายเดือน ซึ่งอาจตรงข้ามกับโฟลว์ธุรกรรมของบรรดาบริษัทเอกชนในต่างประเทศ ที่ช่วงนี้เป็นฝั่งการทยอยขายเงินดอลลาร์ (Net USD Selling) และเห็นการทยอยเพิ่มสัดส่วนการป้องกันความเสี่ยง (Hedging Ratio) จากบรรดาผู้เล่นในตลาดมากขึ้น (ทั้งฝั่งนักลงทุนและบริษัทเอกชน) โดยหากเงินบาทสามารถแข็งค่าทะลุโซนแนวรับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ก็มีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นต่อทดสอบโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเรามองว่า อาจเป็นโซนแนวรับที่แข็งแกร่งพอควรในระยะสั้น

         โดยเฉพาะในช่วงนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดมีมุมมองต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟดมากพอสมควร ดังจะเห็นได้จากการที่ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดมีโอกาสราว 55% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ และอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า ซึ่งต่างจากคาดการณ์ดอกเบี้ยของเฟด หรือ Dot Plot (รวมถึง มุมมองของเราพอควร) ทำให้เรามองว่า มีความเสี่ยงที่เงินดอลลาร์อาจรีบาวด์แข็งค่าขึ้นได้ไม่ยาก หากผ่านช่วงโฟลว์ธุรกรรมปลายเดือนที่เป็นฝั่งขายเงินดอลลาร์สุทธิ แล้วรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทยอยออกมาดีกว่าคาดบ้าง ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็อาจกลับมากดดันบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะค่าเงินบาทได้ในช่วงที่เข้าใกล้กำหนดพักการเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ซึ่งเราคาดว่า สุดท้าย รัฐบาลสหรัฐฯ อาจขยายเวลาไปก่อน เพื่อให้สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับบรรดาประเทศคู่ค้าได้

        และแม้ว่าเงินบาทอาจมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง แต่การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจถูกจำกัดแถวโซนแนวต้าน 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อน จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม และในเชิงเทคนิคัล หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เราจะกลับมาเชื่อว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลงได้ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านดังกล่าวได้อย่างชัดเจน

        การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ อย่าง เงินบาทในช่วงระยะสั้นนี้ ยังคงสะท้อนถึงภาวะความผันผวนสูงเกินปกติของตลาดการเงิน ทำให้ เราคงเน้นย้ำความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์ Options และการพิจารณาใช้ Local Currency เนื่องจากบางสกุลเงิน อย่าง CNYTHB ก็มีความผันผวนที่ต่ำกว่า USDTHB อย่างเห็นได้ชัด

        มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.70 บาท/ดอลลาร์

 

 

 


คลิปวิดีโอ