วันพุธ ที่ 29 ตุลาคม 2568 21:25น.

KKP เผยไทยกำลังขึ้นแท่นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ของอาเซียน ดึงดูด Hyperscaler ทั่วโลก

29 ตุลาคม 2025

        บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (KKPS) เปิดเผยผลการพูดคุยกับบริษัทวิจัยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับโลก DCByte พบว่า ประเทศไทยกำลังก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากกระแสการย้ายฐานการลงทุนของผู้ให้บริการขนาดใหญ่ (Hyperscaler) จากสิงคโปร์และยะโฮร์ ประเทศมาเลเซีย เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

        ปัจจุบันประเทศไทยมีโครงการดาต้าเซ็นเตอร์รวมราว 4.5–4.6 กิกะวัตต์ ขณะที่ตลาดมาเลเซียอยู่ที่ประมาณ 8–9 กิกะวัตต์ (โดยยะโฮร์เพียงแห่งเดียวคิดเป็นกว่า 5 กิกะวัตต์) ส่วนสิงคโปร์มีตลาดขนาดเล็กกว่า 2 กิกะวัตต์ ซึ่งสะท้อนว่าไทยเริ่มขึ้นมาเป็น “จุดหมายถัดไป” ของการขยายดาต้าเซ็นเตอร์ในภูมิภาค

จุดแข็งของไทยเหนือประเทศเพื่อนบ้าน

         สิงคโปร์จำกัดการเพิ่มกำลังผลิตใหม่ ขณะที่ยะโฮร์เริ่มเผชิญข้อจำกัดด้านพลังงานและทรัพยากร ส่งผลให้ผู้ประกอบการระดับโลกมองหาแหล่งลงทุนใหม่ที่มีความพร้อม ซึ่งประเทศไทยโดดเด่นในหลายด้าน ได้แก่

         -ความมั่นคงด้านพลังงานและระบบโครงสร้างพื้นฐานที่หนาแน่นกว่า

        -กระบวนการอนุญาตที่ยืดหยุ่น

        -ความหนาแน่นของประชากรต่ำกว่า ทำให้เหมาะต่อการตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่

        ในขณะที่ประเทศอื่นในภูมิภาคยังมีข้อจำกัด เช่น ฟิลิปปินส์เผชิญความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ อินโดนีเซียมีต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานสูง และเวียดนามยังมีกฎระเบียบซับซ้อน ไทยจึงถือเป็น “ตลาดที่สมดุลระหว่างศักยภาพและความเป็นไปได้เชิงปฏิบัติ” แม้ยังต้องพัฒนาในด้านมาตรฐานอุตสาหกรรม ความโปร่งใส และบุคลากรทักษะสูง

ทำเลศักยภาพ: กรุงเทพฯ และ EEC

         การลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ของไทยเริ่มขยายจากกรุงเทพฯ สู่พื้นที่โดยรอบ เช่น ปทุมธานี สมุทรปราการ และชลบุรี รวมถึงในเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) อย่าง ฉะเชิงเทรา–ชลบุรี–ระยอง ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางของโครงการขนาดใหญ่ (ตั้งแต่ 100 เมกะวัตต์ขึ้นไป) สำหรับงานด้าน AI และคลาวด์คอมพิวติ้ง

        -กรุงเทพฯ เหมาะกับศูนย์ขนาดเล็ก รองรับบริการคลาวด์ ธนาคาร และคอนเทนต์ออนไลน์ที่ต้องการความเร็วสูง

         -EEC โฟกัสโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานมากและมีศักยภาพรองรับเทคโนโลยีใหม่ในอนาคต

        รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการจัดสรรพลังงานให้กับโครงการที่มีความพร้อมจริง และเตรียมเปิดระบบซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงในอนาคต เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น

ตลาดเปลี่ยนทิศสู่ยุคของ Hyperscaler

          ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ของไทยกำลังเปลี่ยนผ่านจากโมเดลโคโลเคชั่น (การเช่าพื้นที่ติดตั้งเซิร์ฟเวอร์) มาสู่การลงทุนโดยตรงของผู้ให้บริการระดับโลกหรือ Hyperscaler ซึ่งปัจจุบันครองสัดส่วนกว่า 80% ของความต้องการทั้งหมด

กลุ่มตะวันตก:

         -Amazon Web Services (AWS) เริ่มก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ของตนเอง

         -Google ซื้อที่ดินและเตรียมเริ่มสร้างในไทย

         -Microsoft ปรับแผนมาเช่าพื้นที่ในระยะสั้นเพื่อเริ่มดำเนินงาน

กลุ่มจีน:

         -ByteDance เป็นผู้ใช้รายใหญ่ที่สุด

         -Alibaba และ Tencent ขยายการให้บริการผ่านพันธมิตรโคโลเคชั่นในไทย

ข้อจำกัดการส่งออกชิปของสหรัฐฯ

         แม้รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณากฎควบคุมการส่งออกชิปประมวลผลขั้นสูง (GPU) เพื่อป้องกันการส่งต่อไปยังจีน ซึ่งอาจทำให้การนำเข้าชิปของไทยต้องขอใบอนุญาตเพิ่มเติม แต่ ผลกระทบคาดว่าจะเป็นเพียงเชิงเทคนิค ไม่ใช่เชิงโครงสร้าง นักลงทุนส่วนใหญ่ยังมั่นใจว่ากระบวนการอนุญาตสามารถบริหารจัดการได้ และไม่เป็นอุปสรรคต่อแนวโน้มการลงทุนด้าน AI และดาต้าเซ็นเตอร์ของไทยในระยะยาว

KKP ชี้ “ดาต้าเซ็นเตอร์” คือโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของเศรษฐกิจดิจิทัล

         KKP มองว่า การลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์จะเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจยุคใหม่ โดยจะสร้างแรงขับเคลื่อนให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ควบคู่กัน

         “ดาต้าเซ็นเตอร์คือโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต การที่ไทยถูกมองว่าเป็นจุดหมายใหม่ของ Hyperscaler ทั่วโลก ไม่เพียงสะท้อนความพร้อมด้านเทคโนโลยีและพลังงาน แต่ยังสะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของประเทศ”


คลิปวิดีโอ