วันพุธ ที่ 15 ตุลาคม 2568 19:25น.

‘อินโนเวสท์ เอกซ์’ประเมินการลงทุนQ4 ชัดเจนขึ้น-ศก.โลกสดใสหลังประกาศ’ภาษีทรัมป์’

25 กันยายน 2025

         ‘อินโนเวสท์ เอกซ์’ ประเมินภาพรวมการลงทุนไตรมาส 4/2568 ว่า ทิศทางตลาดเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มสดใสขึ้นหลังจากมาตรการภาษีศุลกากรสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีน้อยและช้ากว่าที่เคยประกาศไว้ ณ เดือน เมษายน ด้านทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น แต่ต้องจับตาเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัว กดดันจากการส่งออกและภาคเศรษฐกิจในประเทศที่จะชะลอลง แต่เสถียรภาพการเมืองรวมถึงทีมเศรษฐกิจใหม่และนโยบายที่จะออกมาเป็นความหวังของเศรษฐกิจไทย โดย InnovestX ประเมินกรอบเป้าหมายดัชนี SET ปี 2568 ที่ 1,350–1,400 จุด โดยมองว่าระดับต่ำกว่า 1,200 จุดเป็นจุดเข้าซื้อที่น่าสนใจ กลยุทธ์หลักคือการคัดเลือกหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง เช่น AP, CENTEL, DIF, HMPRO และ MTC ควบคู่กับการจัดพอร์ตอย่างสมดุลในหลายสินทรัพย์ ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ และ REITs เพื่อสร้างสมดุลระหว่างผลตอบแทนและการลดความผันผวนในระยะยาว

         นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย Head of Research Department บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด(InnovestX) เปิดเผยว่า มุมมองเศรษฐกิจประจำไตรมาส 4/68 บรรยากาศการลงทุนมีความชัดเจนขึ้น และ ความไม่แน่นอนเศรษฐกิจคลี่คลาย โดยมีแรงหนุนจากการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เร็ว และแรงกว่าคาด แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวแต่ไม่ถดถอย ซึ่งช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ในขณะเดียวกันค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้หุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่รวมถึงไทย ด้านปัจจัยในประเทศ ความชัดเจนทางการเมืองหนุนให้นักลงทุนกลับมาให้น้ำหนักต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ โดยทั้งหมดนี้มีส่วนผลักดันให้ SET Index รักษาแรงส่งเชิงบวกต่อเนื่อง ซึ่งยังคงแนะนำการกระจายพอร์ตลงทุนในหลายสินทรัพย์ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และ สินทรัพย์ทางเลือกอย่างทองคำเพื่อสร้างผลตอบแทนควบคู่การบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น

         ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกไตรมาส 4/68 และ ปี 69 มีสัญญาณบวกมากขึ้น หลังสหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษี “Reciprocal Tariff” ต่ำกว่าที่ประกาศเดิม โดยประเทศพัฒนาแล้วถูกเก็บราว 15% และ ประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย 19–20% หนุนให้จีดีพีโลกปี 68–69 อาจขยายตัว 2.9% และ 3.0% ขณะที่เฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายน ท่ามกลางตลาดแรงงานชะลอ แต่ยังเสี่ยงเงินเฟ้อจากภาษีศุลกากร ส่วนเศรษฐกิจจีนยังชะลอจากปัญหาโครงสร้างคาดขยายตัวเพียง 4.4% และ 4.0% ในปี 68-69 แม้รัฐบาลเดินหน้ามาตรการกระตุ้น และ นโยบาย Anti-Involution เพื่อพยุงการเติบโต สำหรับเศรษฐกิจไทยคาดชะลอใน 4 ไตรมาสข้างหน้าทำให้ทั้งปี 68–69 โตเพียง 1.8% และ 1.4% แต่ยังพอได้แรงหนุนบางส่วนจากมาตรการเศรษฐกิจ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และ การแต่งตั้งทีมเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาลอนุทิน

         นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยไตรมาส 4/68 ความเสี่ยงขาลงจำกัด แม้ Upside ไม่กว้างนัก นักลงทุนควรเน้นลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจในประเทศ ภายใต้ธีม Domestic Play ที่หนุนด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การฟื้นตัวท่องเที่ยว แนวโน้มดอกเบี้ยของ ธปท. และ เงินบาทแข็งค่าที่ช่วยดึงเงินทุนต่างชาติ InnovestX ปรับเป้าหมาย SET ปี 68 ที่ 1,350–1,400 จุด โดยมองว่าบริเวณต่ำกว่า 1,200 จุดน่าสนใจในการเข้าซื้อ ซึ่งกลยุทธ์หลัก คือ คัดเลือกหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง งบดุลมั่นคง ได้อานิสงส์จากอุปสงค์ในประเทศ ดอกเบี้ยขาลง และ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ พร้อม Valuation สมเหตุสมผล โดยหุ้นเด่น ได้แก่ AP, CENTEL, DIF, HMPRO และ MTC ซึ่งตอบโจทย์ทั้งการป้องกันความเสี่ยง และ การเติบโตระยะยาว

         “หลังความไม่แน่นอนทางการเมืองลดลง คาดว่า ดัชนี SET จะมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น พร้อมกับผันผวนในไตรมาส 4/68 โดยมีโอกาสขึ้นไปถึงเป้าหมายของเราที่ 1,350 จุด ได้หากปัจจัยบวกทั้งหมดเกิดขึ้น ในไตรมาส 4/68-1/69 เราเชื่อว่า ดัชนีSET มีโอกาสปรับขึ้นถึงระดับ 1,350 จุดได้ ซึ่งปัจจัยหลักที่ช่วยหนุนดัชนี SET คือ การปรับลดอัตราดอกเบี้ย การลดดอกเบี้ยลง 25 bps จะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อกําไรประมาณ 1.3% และ ช่วยหนุนให้ดัชนี SET ปรับขึ้นได้ 15 จุด ในขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดว่า จะช่วยหนุนให้จีดีพีเพิ่มขึ้นได้ 0.1% และ ส่งผลให้กำไรเติบโตในระยะสั้น โดยมีแนวโน้มที่จะช่วยหนุนให้ดัชนี SET ปรับขึ้นได้อีก 10 จุด ส่วนเงินบาทแข็งค่า จากงานวิจัยเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายเงินทุนในประเทศไทยพบว่า ดัชนี SET จะเพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้นทุกๆ 1% หรือ คิดเป็นดัชนี SET ที่เพิ่มขึ้น 4 จุด

         ในขณะเดียวกันแนวโน้มเศรษฐกิจโลกมีเสถียรภาพมากขึ้น หนุนการลงทุนเชิงบวก โดยมีปัจจัยจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่ง จีนเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ และ แนวโน้มเฟดกับธปท. ลดดอกเบี้ย กลยุทธ์ คือ เน้นหุ้นวัฏจักร และ อุตสาหกรรมที่เติบโตตามเศรษฐกิจ รวมถึงหุ้นเทคโนโลยีที่ได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยขาลง ส่วนตลาดเกิดใหม่ยังได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้น และ ดอลลาร์อ่อนค่า แม้ Upside หุ้นโลกจำกัด แต่ยังมีโอกาสปรับขึ้นต่อ ซึ่งหุ้นเด่น ได้แก่ TSLA , MSFT, NVDA, AAPL, RTX, JPM (สหรัฐฯ), ASML, LVMH, BAE System, ABB, BNP Paribas, L’Oreal (ยุโรป) และ Tencent, Alibaba, SMIC, Trip.com, HKEX, Lenovo, Xpeng/Zeekr (จีน)

          ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ  Head of Investment Strategy Department และ Trading Product Specialist Department บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า กลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 4/68 ควรจัดพอร์ตอย่างรอบคอบและกระจายความเสี่ยง หลังตลาดหุ้นปรับขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เมษายน โดยยังเน้นหุ้นสหรัฐฯ คุณภาพสูง หรือ กลุ่มอิงดัชนี S&P500 แบบ Equal Weight ในธีม Catch up play ขณะเดียวกัน หุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากมาตรการการคลังและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงหุ้นกลุ่มที่ได้อานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงและดอลลาร์อ่อนค่า เช่น Emerging markets โดยเฉพาะหุ้นจีนที่แนะนำต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี และ ตลาดหุ้นไทยที่มีปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่

         ด้านตราสารหนี้แนะนำลงทุนระยะสั้น–กลาง เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของพันธบัตรระยะยาว ส่วนสินทรัพย์ทางเลือกทองคำยังเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่ REITs ได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยขาลงและเศรษฐกิจโลกฟื้น โดย REITs ไทยน่าสนใจกว่า REITs โลกจาก Dividend yield ที่สูงกว่า นอกจากนี้ สินทรัพย์ดิจิทัลยังได้แรงหนุนจากกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนขึ้นในหลายประเทศ สร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ดังนั้น ควรจัดพอร์ตแบบผสมผสานเพื่อสร้างโอกาสผลตอบแทนควบคู่กับการลดความเสี่ยงระยะยาว

         กองทุนเด่นประจำไตรมาสเพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างโอกาสรับผลตอบแทน ได้แก่ หุ้นจีน KFCSI300-A, หุ้นยุโรป ES-EG-A, ทองคำ UOBSG-H และ REITs ไทย MPDIVMF สำหรับผู้สนใจหุ้นจีน สามารถลงทุนผ่าน DR23 ที่คัดเลือกหุ้นชั้นนำในธีมการเติบโตระยะยาว เช่น CATL23, HSHD23, SMIC23, BABA23, KUAISH23 อีกทั้ง ยังสามารถใช้ US Options เพื่อเพิ่มผลตอบแทนและป้องกันความเสี่ยงในหุ้นสหรัฐฯ รวมถึงใช้ USD Futures ผ่านตลาด TFEX เพื่อบริหารความเสี่ยงค่าเงินได้เช่นกัน


คลิปวิดีโอ