การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศหรือ Climate Change กำลังเป็นภัยเงียบที่คุกคามชาวโลก ทำให้เกิดภาวะอากาศสุดขั้ว เกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงและมีจำนวนความถี่มากขึ้นโดยเฉพาะภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อประเทศไทย
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ปัญหา Climate Change ทำให้โลกตกอยู่ในภาวะ 3 สูงคือ อุณหภูมิสูง ภัยธรรมชาติสูง และความเสียหายสูง โดยข้อมูลจาก World Economic Forum ประเมินว่า ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาภัยธรรมชาติสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่ารวมทั่วโลกถึง 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5 เท่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยในปี 2565
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้นำไปสู่ความร่วมมือในระดับโลกเพื่อแก้ไขปัญหา Climate Change โดยมุ่งไปที่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติจำนวน 17 เป้าหมาย ครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และการปฏิบัติตามความตกลงปารีส (Paris Agreement) ตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหมุดหมายสำคัญ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากกว่าผลกำไรในรูปตัวเงินในระยะสั้น
ดร.รักษ์ กล่าวว่า ปัจจุบันกระแสการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสำคัญ จึงเปรียบเสมือนเป็นมาตรฐานใหม่ที่ทำให้ภาคธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่ม SMEs จะต้องปรับปรุงสินค้า บริการ รวมถึงกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับแนวทางความยั่งยืน เช่น เลิกใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก ปฏิบัติตามมาตรฐานด้านแรงงานและสวัสดิภาพสัตว์ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังนั้น EXIM BANK ในบทบาทของ “ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย” จึงพร้อมให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาคุณภาพสินค้า การตลาด และการเงิน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย
EXIM BANK ออกผลิตภัณฑ์ใหม่คือ “สินเชื่อ EXIM Green Start” เป็นสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนวงเงินสูงสุด 200 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลากู้เงินสูงสุด 3 ปี อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น Prime Rate -2.25% ต่อปี (ประมาณ 4% ต่อปี) แถมฟรีวงเงิน Forward Contract 1 เท่าของวงเงินสินเชื่อที่ได้รับการอนุมัติ
นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุง “สินเชื่อ EXIM Export Ready Credit” หรือ “สินเชื่อเอ็กซิมเติมทุนส่งออก” ได้เพิ่มวงเงินสูงสุดจาก 5 ล้านบาทต่อราย เป็น 20 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น Prime Rate -2% ต่อปี (อัตรา 4.25% ต่อปีในปัจจุบัน) และเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการที่มีการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมให้ได้รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ต่อปีในปีแรก โดยทั้ง 2 บริการสามารถยื่นขอสินเชื่อได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 30 เมษายน 2567
สินเชื่อทั้ง 2 ประเภทช่วยเสริมสร้างและสอดคล้องไปกับนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนให้เกิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Economy) อย่างต่อเนื่อง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากที่ก่อนหน้านี้ได้สนับสนุนโครงการใช้พลังงานสะอาด ผ่านสินเชื่อ Solar Orchestra ที่ให้เงินทุนติดตั้ง Solar Rooftop เชื่อมโยงกับ Ecosystem ตลาดคาร์บอน โครงการประหยัดพลังงานผ่านสินเชื่อ EXIM Kill Bill by Biz Transformation เงินทุนสำหรับการเปลี่ยนอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน เป็นต้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน คู่ขนานกับการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมในทุกมิติ ทั้งการสร้างอุตสาหกรรมใหม่และการผลักดันสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายเดิมปรับธุรกิจให้สอดรับกับมาตรฐานด้านความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ดร.รักษ์ กล่าวต่อไปว่า EXIM BANK ตั้งเป้ามุ่งสู่ Green Bank ด้วยการจัดโครงสร้างสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการ BCG โดยให้มีสัดส่วน 50% ของพอร์ตภายใน 3 ปีข้างหน้า และจะระดมทุนด้วยการออกพันธบัตรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) เพื่อใช้เป็นเงินทุนสนับสนุนธุรกิจสีเขียวหรือธุรกิจที่ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยในช่วงที่ผ่านมาได้ระดมทุนล็อตแรกจำหน่ายแล้วเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2565 จำนวน 2 รุ่น วงเงินรวม 5,000 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายจะระดมทุนในรูปแบบ Green Bond อย่างต่อเนื่องและในปี 2566 จะออก Green Bond ล็อตที่ 2 จำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไปและนักลงทุนรายย่อยอีกด้วย ซึ่งนับเป็นธนาคารเฉพาะกิจของรัฐแห่งแรกที่จัดตั้งกรอบการระดมทุนเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Financing Framework) โดยมีธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เป็นที่ปรึกษา
“EXIM BANK ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งสู่การเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ขยายบทบาทมากขึ้น เพื่อผลักดันการพัฒนาประเทศในมิติเศรษฐกิจ เชื่อมโยงสังคมและสิ่งแวดล้อม นำไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำตามนโยบายรัฐบาลที่สอดรับกับเจตนารมณ์ของประชาคมโลกที่จะรักษาสมดุลของการเติบโตทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม” ดร.รักษ์ กล่าว