วันเสาร์ ที่ 20 ธันวาคม 2568 06:29น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.43 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”

19 ธันวาคม 2025

          นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.43 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดของวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 31.46 บาทต่อดอลลาร์

           โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ยังคงเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 31.35-31.48 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจนทะลุกรอบ 31.40 บาทต่อดอลลาร์ ที่เราประเมินไว้ในวันก่อนหน้า สอดคล้องกับการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ เดือนพฤศจิกายน ชะลอตัวลงสู่ระดับ 2.7% ต่ำกว่าที่ตลาดประเมินไว้ 3.1% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ที่ไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงาน (Core CPI) ก็ชะลอตัวลงต่อเนื่อง สู่ระดับ 2.6% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 3.0% ส่งผลให้บรรดาผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด (ตลาดให้โอกาสเกือบ 50% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปี 2026) นอกจากนี้ ภาพดังกล่าวยังหนุนให้บรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor ในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างปรับตัวขึ้น และช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยรีบาวด์ขึ้นบ้าง พร้อมกดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลง ส่งผลให้เงินบาทชะลอการแข็งค่าขึ้น ก่อนที่จะแกว่งตัวแถวโซน 31.43 บาทต่อดอลลาร์

          บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ล่าสุดออกมาต่ำกว่าคาดพอควร ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่าเฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ส่งผลดีต่อบรรดาหุ้นสไตล์ Growth โดยเฉพาะหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ Alphabet +1.9%, Nvidia +1.9% ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.79% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +1.38%  

          ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นราว +0.96% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor เช่นเดียวกันกับฝั่งสหรัฐฯ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายตามคาดของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และแม้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะคงดอกเบี้ยตามคาด ทว่า ECB ได้มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนมากขึ้น ซึ่งมุมมองดังกล่าวก็พอช่วยหนุนบรรยากาศในตลาดหุ้นยุโรปด้วยเช่นกัน

         ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงต่อ สู่ระดับ 4.12% หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ล่าสุดที่ชะลอตัวลงต่อเนื่องและออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด อย่างไรก็ดี ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ได้ช่วยชะลอการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และการเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ยังคง สอดคล้องกับมุมมองของเรา ว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงเป็น 1. แนวโน้มดอกเบี้ยของเฟด (ซึ่งจะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ) 2. แนวโน้มฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ และ 3. บรรยากาศในตลาดการเงิน โดยเรายังคงแนะนำให้ ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อ (Buy on Dip) บอนด์ระยะยาว เน้นในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเท่านั้น อาทิ ระดับบอนด์ยีลด์เกิน 4.20% ก็จะเป็นระดับที่มีความน่าสนใจ และสามารถทยอยเข้าซื้อได้ แต่หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเพิ่มเติม จนต่ำกว่าระดับ 4.00% เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดยังไม่ควรไล่ราคาซื้อเพิ่มเติม เพื่อรอจังหวะให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นบ้าง ถึงจะคุ้มค่ากับความเสี่ยง หรือมี Risk-Reward ที่เหมาะสม

           ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่าเฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด จากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ทว่า การรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor สหรัฐฯ รวมถึงจังหวะอ่อนค่าลงบ้างของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดและการปรับสถานะของผู้เล่นในตลาดบางส่วนก่อนรับรู้ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันศุกร์นี้ ก็พอช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์บ้าง ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่โซน 98.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.2-98.6 จุด)  ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่มั่นใจต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมของเฟด ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2026) ทยอยปรับตัวสูงขึ้น ก่อนที่เผชิญแรงกดดันจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวมและแรงขายทำกำไรทองคำ ส่งผลให้ราคาทองคำย่อตัวลงบ้าง ก่อนที่จะแกว่งตัวเหนือโซน 4,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์

          สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยบรรดาผู้เล่นในตลาดและนักวิเคราะห์ ต่างประเมินว่า BOJ อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 25bps สู่ระดับ 0.75% หลังอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายของ BOJ และมีแนวโน้มทรงตัวแถวระดับเป้าหมายของ BOJ ได้ในระยะข้างหน้า ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวดีขึ้น ตามอานิสงส์ของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการคลังของรัฐบาลญี่ปุ่นในอนาคต ทว่า BOJ อาจยังมีความกังวลอยู่บ้างต่อประเด็นความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงปัจจัยเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อาทิ ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับจีน ทำให้ BOJ อาจไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง และอาจระบุว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายยังคงเป็นส่วนหนึ่งของการปรับนโยบายการเงินให้มีความสมดุลสอดคล้องกับสถานการณ์มากขึ้น (Policy Normalization) ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามทั้งแถลงการณ์การประชุม และถ้อยแถลงของผู้ว่าฯ BOJ ในช่วง Press Conference (ราว 13.30 น. ตามเวลาประเทศไทย) อย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ BOJ ในระยะข้างหน้า

        ทางฝั่งอังกฤษ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ในเดือนพฤศจิกายน

        ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ PCE ในเดือนตุลาคม รวมถึงยอดขายบ้านมือสอง (Existing Home Sales) 

        และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังการเจรจาเพื่อยุติสงครามมีความคืบหน้ามากขึ้น และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ยังร้อนแรงอยู่

         สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมั่นใจว่า เงินบาท (USDTHB) ยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น และมีโอกาสสูงที่จะแข็งค่ามากกว่าระดับ สิ้นปีแถว 31.85+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์ ตามที่เราคาดการณ์ไว้ในรายงานบทวิเคราะห์ Global FX Outlook 2026 ได้ (สามารถอ่านได้ใน LineOA หรือขอรับบทวิเคราะห์ฉบับบเต็มจากทาง Sales ของ Krungthai Global Markets) โดยจากการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 31.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน (เราจะปรับมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ หรือโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์)

        อย่างไรก็ดี โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ชะลอตัวลงและอาจทำให้ยังไม่สามารถเห็นการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องที่ชัดเจนของเงินบาทได้ในระยะสั้นนี้ ทว่า อาจต้องระวังความผันผวนของตลาดการเงินในช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุม BOJ ที่อาจทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง (Two-way risk)

         โดยจากสถิติในอดีตนั้น ผลการประชุม BOJ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเงินบาทรุนแรง เหมือนการรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด ทว่า ในการประชุมครั้งนี้ หาก BOJ “เซอร์ไพรส์” ตลาดด้วยการคงดอกเบี้ย สวนทางกับคาดการณ์ว่า BOJ จะขึ้นดอกเบี้ย และไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม ก็อาจกดดันให้ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เสี่ยงอ่อนค่าลงหนัก และอาจเห็นระดับ 156-156.50 เยนต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก หนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น และกดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงตามได้บ้าง

        แต่หาก BOJ ขึ้นดอกเบี้ยตามคาด ทว่าไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดอาจยังคงตีความว่า การขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ อาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป และอาจกลับมาขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง ในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า ค่อนไปทางไตรมาสที่ 4 ได้ ส่งผลให้ เงินเยนญี่ปุ่นจะไม่ได้แข็งค่าขึ้นและมีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways แถวโซน 155.50 เยนต่อดอลลาร์ ได้ โดยเราประเมินว่า กรณีนี้ มีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุด จากการวิเคราะห์ผลการประชุมของ BOJ ในช่วงที่ผ่านๆ มา และการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่น รวมถึงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ

         และหาก BOJ ขึ้นดอกเบี้ยตามคาด พร้อมส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมที่ชัดเจน ซึ่งอาจต้องสะท้อนในความเชื่อมั่นแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นและทิศทางอัตราเงินเฟ้อที่อาจอยู่ในระดับสูง แม้เราจะมองว่า กรณีนี้นั้นมีโอกาสเกิดต่ำ ทว่า หากเกิดขึ้นจริง เงินเยนญี่ปุ่นก็สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องทะลุโซน 155 เยนต่อดอลลาร์ ทดสอบโซน 154.50 เยนต่อดอลลาร์ ซึ่งจะช่วยหนุนให้เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นหลุดโซนแนวรับ 31.40 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงนี้ เปิดโอกาสให้เงินบาทเสี่ยงแข็งค่าขึ้นทดสอบโซน 31.00-31.10 บาทต่อดอลลาร์ ได้ หากมีปัจจัยหนุนอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ราคาทองคำปรับตัวขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ตามการอ่อนค่าลงเพิ่มเติมของเงินดอลลาร์

        เราประเมินว่า ความผันผวนของเงินบาทเสี่ยงที่จะสูงขึ้นและอย่างน้อยก็อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown (ที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2026) และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

          มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.30-31.60 บาท/ดอลลาร์

 


คลิปวิดีโอ