
บมจ.อาม่า มารีน แจ้งผลงานไตรมาส 3 ปี68 กวาดรายได้ 714.28 ล้านบาท กำไรสุทธิ 44.49 ล้านบาท บอร์ดไฟเขียว! เคาะจ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.10 บาท/หุ้น กำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 9 ธันวาคม 2568 ผู้บริหาร “พิศาล รัชกิจประการ” ระบุเดินหน้าขยายบริการรูปแบบใหม่นอกเหนือธุรกิจการขนส่งสินค้าทางรถ–ทางเรือ เพื่อสร้างการเติบโต และเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจร เสริมศักยภาพการเติบโต และการแข่งขันระยะยาว
นายพิศาล รัชกิจประการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาม่า มารีน จำกัด (มหาชน) (AMA) ผู้ให้บริการขนส่ง สินค้าน้ำมันปาล์มและน้ำมันพืช เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2568) บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้จากการให้บริการขนส่งสินค้า จำนวน 714.28 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 44.49 ล้านบาท โดยรายได้หลักยังคงมาจากกลุ่มธุรกิจการขนส่งสินค้าทางรถเพิ่มขึ้น จากการขนส่งสินค้าเหลว การขนส่งแก๊ส และตู้คอนเทนเนอร์
ทั้งนี้ในธุรกิจการขนส่งสินค้าทางรถในไตรมาส 3 ปี 2568 มีกำไรขั้นต้น 73.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.96 ล้านบาท หรือ 51.27 % จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 18.42% เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 13.39% สาเหตุหลักมาจากการบริหารจัดการจำนวนเที่ยววิ่งและต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้กำไรขั้นต้นเติบโต ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
พร้อมกันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสดในอัตรา 0.10 บาท/หุ้น โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) วันที่ 26 พ.ย. 2568 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 9 ธ.ค. 2568
กรรมการผู้จัดการ AMA กล่าวต่อถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/68 เชื่อว่า จะมีทิศทางการดำเนินงานที่ดี และจะขยายตัวดีขึ้นจากช่วง High Season ขณะเดียวกันบริษัทฯ เดินหน้าในการสร้างโอกาสการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต ซึ่งโฟกัสในธุรกิจโลจิสติกส์เป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ Warehouse และขนส่งทางโดรน ที่ล่าสุดบริษัทฯ ได้ร่วมสาธิตการบินโดรนขนส่งยาและเวชภัณฑ์ เพื่อแสดงศักยภาพของเทคโนโลยีขนส่งอัจฉริยะในภาคการแพทย์ โดยโครงการดังกล่าวมีระยะเวลาสัญญาเริ่มตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2568 คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน มีนาคม 2569
ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ บริษัท เอ เอ็ม เอ โลจีสติกส์ (AMAL) และ บริษัท ทีเอสเอสเค โลจิสติกส์ จำกัด (TSSK) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้มีการเพิ่มจำนวนรถขนส่งสินค้าทางรถเพื่อรองรับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากกลุ่มลูกค้าหลักอย่าง บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) ซึ่งขยายสถานีบริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงลูกค้าใหม่ในกลุ่มธุรกิจอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค ส่งผลให้ปริมาณการขนส่งทางบกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ











