
SUN เผยผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2568 รายได้จากการขาย 2,664.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4% กำไรสุทธิ 159.10 ล้านบาท ยอดขายผลิตภัณฑ์พร้อมทานภายในประเทศโต 30% ดันปริมาณการผลิตสินค้าเต็มกำลัง เตรียมออกใหม่กลุ่ม Ready to Eat เสริมแกร่งธุรกิจอย่างยั่งยืน
นายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2568 บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้า 2,664.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,505.25 ล้านบาท จำนวน 159.54 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6.4% และมีกำไรสุทธิ 159.10 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้า 876.7 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 24.4 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผลประกอบการในงวด 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมที่เติบโตขึ้น จากยอดขายที่เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปริมาณการขายสินค้าพร้อมทานภายในประเทศเพิ่มขึ้น 30% อีกทั้งบริษัทสามารถผลิตสินค้าได้เต็มกำลังการผลิต เพื่อรองรับคำสั่งซื้อจากทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งยังคงมีความต้องการสินค้าข้าวโพดหวานและผลิตภัณฑ์แปรรูปในระดับสูง แม้ในช่วงไตรมาส 3/2568 อาจมีการชะลอตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าและภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกของภาคอุตสาหกรรมโดยรวม อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ดำเนินการแผนจัดการคำสั่งซื้อและบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนไว้อย่างรัดกุม เพื่อรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และรักษาเสถียรภาพของผลการดำเนินงานโดยรวมให้มั่นคง
“บริษัทยังคงมุ่งมั่นพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานและคุณภาพสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ตั้งแต่ขั้นตอนการเพาะปลูก การแปรรูป ไปจนถึงการควบคุมคุณภาพสินค้า เพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตให้มีความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Ready to Eat (RTE) เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ รวมถึงการบริหารความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก อาทิ ด้านค่าเงินที่มีความผันผวน เพื่อรักษาอัตรากำไรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตสินค้าหลักอย่างข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัท โดยในช่วงที่ผ่านมา SUN สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตดังกล่าวได้กว่า 12-13% สะท้อนถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง” นายองอาจ กล่าวเพิ่มเติม











