วันศุกร์ ที่ 26 กันยายน 2568 17:09น.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.22 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”

26 กันยายน 2025

        นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.22 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.13 บาทต่อดอลลาร์

        โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลง มากกว่าที่เราประเมินไว้ และสามารถอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.11-32.32 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการทยอยปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลง จากเดิมผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดมีโอกาสราว 70% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในปีนี้ และอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า กลายเป็น ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดมีโอกาสราว 58% ที่จะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในปีนี้ และมีโอกาสเพียง 44% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปี 2026 หลัง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ล้วนออกมาดีกว่าคาด อาทิ อัตราการเติบโตเศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 +3.8% จากไตรมาสก่อนหน้า เมื่อเทียบเป็นรายปี รวมถึง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) และ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) ที่ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 2.18 แสนราย และ 1.926 ล้านราย ตามลำดับ นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมในช่วงแรก ตามการย่อตัวลงต่อเนื่องของราคาทองคำ ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดยังคงรอทยอยขายเงินดอลลาร์และปรับสถานะถือครอง อีกทั้งราคาทองคำก็เริ่มทยอยรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง กลับสู่ระดับใกล้เคียงก่อนช่วงรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ

        บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเผชิญแรงกดดันจากการทยอยขายทำกำไรบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ อาทิ Oracle -5.6% และ Tesla -4.4% หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ต่างออกมาดีกว่าคาด ส่งผลให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -0.33% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.28%

        ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.66% กดดันโดยแรงเทขายหุ้นกลุ่มยาและการแพทย์ หลังกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้เริ่มกาสอบสวนประเด็นความมั่นคงของชาติ จากการนำเข้าสินค้าในกลุ่มดังกล่าว นอกจากนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ยังได้ส่งผลกระทบให้บรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ ฝั่งยุโรป เคลื่อนไหวทรงตัวหรือย่อตัวลง 

        ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ทยอยออกมาดีกว่าคาด จนทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น เข้าใกล้ระดับ 4.20% ก่อนที่จะย่อตัวลงเล็กน้อย ตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ซึ่งการเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ดังกล่าว ยังคงสอดคล้องกับมุมมองของเรา ที่ประเมินว่า ในช่วงระยะสั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลง ทั้งนี้ เราย้ำว่า ในช่วงระยะสั้น ควรจับตารายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ที่จะทยอยรับรู้ในช่วงต้นเดือนตุลาคม อย่างใกล้ชิด เนื่องจากปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้จริง เราก็ยังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้

         ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลง ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ล้วนออกมาดีกว่าคาด กอปรกับในช่วงปลายเดือน เงินดอลลาร์ก็ได้แรงหนุนจากการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด (ปรับลดสถานะ Short USD หรือมองเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง) และโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ (Month-end flows) ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 98.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.7-98.6 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ย่อตัวลงสู่โซน 3,760 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง สู่ระดับล่าสุดแถว 3,780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดและแรงซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน

        สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนสิงหาคม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อย่างใกล้ชิด โดยการรับรู้ข้อมูลเศรษฐกิจและถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้

        ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของประธาน ECB   

        สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทมีกำลังมากขึ้น และเงินบาทอาจกลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่าลง (อย่างน้อยในระยะสั้น) หลังเงินบาท (USDTHB) ได้ทยอยอ่อนค่าลงจนทะลุโซนแนวต้าน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ และอ่อนค่าลงต่อจนทดสอบโซนแนวต้านถัดไป 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้สำเร็จ ซึ่งการอ่อนค่าลงของเงินบาทดังกล่าว ก็ใกล้เคียงกับที่เราประเมินไว้ ณ วันที่ 10 กันยายน ว่า เงินบาทอาจอยู่ที่ระดับ 32.00+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์ ณ สิ้นเดือนกันยายน (คาดการณ์ ณ วันที่ 4 มิถุนายน มองเงินบาทอยู่ที่ระดับ 32.75+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์)

        อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงขายเงินดอลลาร์ รวมถึงการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ทั้งนี้ เรามองว่า ต้องจับตาการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นต่างชาติ อย่างใกล้ชิด หลังบทวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์ต่างชาติหลายแห่ง ได้ระบุว่า นักลงทุนแนว Systematic Hedge Funds ได้ทยอยสะสมสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) ไว้พอสมควร ซึ่งข้อมูล Positioning ของผู้เล่นในตลาดจากหลายแห่งที่เราติดตาม ก็สะท้อนภาพว่า ผู้เล่นในตลาดต่างมีสถานะ Net Long THB พอสมควร ทว่า เราเริ่มเห็นการปรับลดสถานะดังกล่าว ซึ่ง หากเงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในกลุ่ม Systematic Hedge Funds อาจต้องทยอยปิดสถานะ Long THB (เช่น stop loss) ซึ่งอาจยิ่งหนุนการอ่อนค่าลงของเงินบาทได้ในระยะสั้น โดยเราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดอาจทยอยเพิ่มสถานะ Long THB ในช่วงเงินบาทแข็งค่าหลุดโซนแนวรับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้ จุด Stop Loss ของผู้เล่นกลุ่มดังกล่าว อาจอยู่ในโซน 32.30-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ ดังนั้น ควรต้องจับตาว่า เงินบาทจะสามารถอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวได้อย่างชัดเจนหรือไม่ในระยะสั้นนี้

        ทั้งนี้ เรามองว่า แม้รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในคืนนี้ อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินบ้าง แต่ผู้เล่นในตลาดต่างก็รับรู้พอสมควรจากทั้งรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ก่อนหน้ามาบ้างแล้ว อีกทั้งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดก็มีการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ทำให้ เรามองว่า รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในคืนนี้ ที่จะรับรู้ในช่วงราว 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย อาจไม่ได้ทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด อย่างมีนัยสำคัญ และคาดว่า อาจต้องรอลุ้นข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน ซึ่งจะรับรู้ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม ถึงจะเห็นการปรับเปลี่ยนมุมมองอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ เงินบาทยังเสี่ยงเผชิญความผันผวน Two-Way risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง)

        เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทอาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

        มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.10-32.35 บาท/ดอลลาร์


คลิปวิดีโอ