บลจ.อีสท์สปริง เปิดเพิ่มกองทุนใหม่ “กองทุนเปิดอีสท์สปริง US Blue Chip Equity-Unhedged (ES-USBLUECHIP-UH)” เน้นลงทุนหุ้น Blue Chip สหรัฐฯ อาทิ Microsoft NVIDIA Amazon.com Apple Meta Platforms ผ่านกองทุนหลัก T. Rowe Price Funds SICAV–US Blue Chip Equity Fund เพื่อเพิ่มทางเลือกลงทุนและโอกาสลงทุนในระยะยาว เปิดขายตั้งแต่วันนี้จนถึง 25 กรกฎาคม 2568 นี้
นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง เปิดเผยว่า ตามที่บลจ.อีสท์สปริง ได้มีจัดตั้งกองทุนเปิดอีสท์สปริง US Blue Chip Equity (ES-USBLUECHIP) ซึ่งกองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่คุณภาพดีของสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน ถือเป็นกองทุนที่มีผลการดำเนินงานที่สามารถสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าพอใจในระยะยาว บลจ.อีสท์สปริง จึงได้ออกกองทุนเปิดอีสท์สปริง US Blue Chip Equity-Unhedged (ES-USBLUECHIP-UH) เพิ่มขึ้นอีก 1 กองทุน โดยไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ด้วยมูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท และเปิดเสนอขายครั้งแรกตั้งแต่วันนี้-25 กรกฎาคม 2568 ด้วยมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1 บาท
ทั้งนี้ กองทุน ES-USBLUECHIP-UH จะลงทุนผ่านกองทุนหลัก T. Rowe Price Funds SICAV – US Blue Chip Equity Fund ในหน่วยลงทุนชนิด Class I บริหารจัดการโดย T.Rowe Price (Luxembourg) Management S.à r.l. ในอัตราส่วนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวโดยกระจายการลงทุนในหุ้นที่มีความหลากหลายของบริษัทขนาดใหญ่และขนาดกลาง “blue chip” ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์ และมีปัจจัยพื้นฐานทางการเงินที่มั่นคง ผ่านกระบวนการ Bottom Up กระจายการลงทุนในหุ้นประมาณ 75-125 บริษัท (ที่มา: T.Rowe Price Funds SICAV – US Blue Chip Equity Fund Factsheet ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2568)
บลจ.อีสท์สปริง มองว่า การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางในสหรัฐฯ ที่มีนวัตกรรม ทรัพยากร และโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง จะช่วยสร้างศักยภาพการแข่งขัน และทำให้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาว โดยหุ้นขนาดใหญ่มักมีประวัติการดำเนินงานมายาวนานและสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่องแม้ว่าในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวก็ยังรักษาอัตรากำไรซึ่งทำให้พอร์ตลงทุนมีเสถียรภาพ นอกจากนี้หุ้นขนาดใหญ่มักเป็นบริษัทมีเงินสดสำรองสูง หนี้ต่ำ และรายได้มั่นคง ส่งผลให้มีความความสามารถในการฟื้นตัวจากวิกฤตได้เร็ว แม้ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยหลายบริษัทก็ยังสามารถจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น
สำหรับรายชื่อหุ้นที่กองทุนหลักถือครองสูงสุด 10 อันดับแรก คือ 1.Microsoft สัดส่วน 9.60% 2.NVIDIA สัดส่วน 9.40% 3.Amazon.com สัดส่วน 9.10% 4.Apple สัดส่วน 8.40% 5.Meta Platforms สัดส่วน 4.80% 6.Alphabet สัดส่วน4.70% 7. Visa สัดส่วน 4.00% 8. Carvana สัดส่วน 3.80% 9.Eli Lilly and Co สัดส่วน 3.30% และ 10. Netflix สัดส่วน 3.20% โดยมีสัดส่วนการลงทุนรายอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก ประกอบด้วย 1. กลุ่ม Information Technology สัดส่วน38.7% 2. กลุ่ม Consumer Discretionary 19.5% 3. กลุ่ม Communication Services 14.6% 4. Financials 10.9% และ 5. กลุ่ม Health Care 8.1% (ข้อมูล: T.Rowe Price Funds SICAV–US Blue Chip Factsheet ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2568)
“จุดเด่นของกองทุน ES-BLUECHIP-UH คือ กองทุนหลักมีการบริหารจัดการโดยเน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่และกลางในสหรัฐฯ ที่มีประวัติการดำเนินงานมายาวนาน ซึ่งมีความสามารถในการแข่งขันสูงและผ่านวิกฤตเศรษฐกิจมาแล้วหลายครั้ง รวมทั้งกองทุนหลักยังมีผลการดำเนินงานที่น่าสนใจ และได้รับการจัดอันดับ Morningstar 4 ดาว ณ วันที่ 31 พ.ค. 2568 ซึ่งสะท้อนเรื่องการบริหารผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่ดี ตลอดจนทีมงานที่มีประสบการณ์บริหารจัดการกองทุนมาอย่างยาวนานและผู้จัดการกองทุนหลักมีประสบการณ์ด้านการลงทุนมามากกว่า 18 ปี (ที่มา: T.Rowe Price Funds SICAV – US Blue Chip Equity Fund Factsheet ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2568) นางสาวดารบุษป์ กล่าว