InterGOLD ประเมินแนวโน้มทองคำครึ่งปีหลัง 2568 ชี้โอกาสพักฐานระยะสั้นไม่ใช่สัญญาณสิ้นสุดขาขึ้น แต่เป็นจังหวะสำคัญให้นักลงทุนทยอยสะสมรอรอบขาขึ้นใหม่ หลังราคาทองคำสร้างสถิติสูงสุดที่ 3,498 ดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ต่อออนซ์ และทองไทยแตะ 54,000 บาทต่อบาททองคำ โดยคาดว่าหากราคาทะลุ 3,490 ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้อีกครั้ง จะมีโอกาสพุ่งสู่ 3,950–4,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกโดยเฉพาะกลุ่ม BRICS และจีนยังเดินหน้าซื้อสะสมทองคำต่อเนื่อง เพื่อลดการพึ่งพาดอลลาร์และเสริมเสถียรภาพทุนสำรอง หนุนให้ทิศทางระยะยาวของทองคำยังคงเป็นขาขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ
นายธีรรัตน์ จุฑาวรากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์โกลด์ โกลด์เทรด จำกัด กล่าวว่า “ช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 25% จากปลายปี 2567 ทำสถิติสูงสุดหลายครั้ง โดยไตรมาส 1/2568 แตะ 3,498 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ และยืนเหนือ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ตลอดไตรมาส 2
อย่างไรก็ตาม ช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ ทองคำมีแนวโน้มพักฐานครั้งใหญ่ โดยมีแนวรับสำคัญที่ระดับ 3,100 และ 2,900 ดอลลาร์สหรัฐฯประกอบกับค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่า ยิ่งกดดันราคาทองคำในประเทศเพิ่มเติม ทำให้ครึ่งปีหลังอาจไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสำหรับนักลงทุนสายเก็งกำไรระยะสั้นมาก แต่กลับเป็นโอกาสที่ดีในการทยอยซื้อแบบถัวเฉลี่ย (DCA) เพราะในภาพรวม ระยะยาวราคาทองคำยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
ปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกดดันราคาทองคำในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ได้แก่ แนวโน้มสงครามการค้าที่เริ่มมีทิศทางผ่อนคลายมากขึ้น จากการเปิดเจรจาระหว่างหลายประเทศ รวมถึงแรงขายทำกำไรจากนักลงทุนระยะสั้น หลังจากที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นแรงในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังไม่มีท่าทีลดดอกเบี้ยในทันที เนื่องจากเงินเฟ้อที่ยังไม่คลี่คลายจากต้นทุนสินค้าสูง ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงแข็งค่า กดดันราคาทองให้ชะลอตัว ซึ่ง InterGOLD ประเมินว่า ราคาทองไทยมีโอกาสปรับฐานสู่ระดับ 47,000–49,000 บาทต่อบาททองคำในช่วงปีนี้ ถือเป็นโอกาสให้นักลงทุนทยอยสะสมเพื่อรอรอบขาขึ้นใหม่
แม้ราคาทองคำจะทำสถิติสูงสุดใหม่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่สิ่งที่น่าจับตายิ่งกว่าคือ แรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่ม BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) ที่ยังคงสะสมทองคำต่อเนื่องเพื่อลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ และเสริมเสถียรภาพการเงินระยะยาว ในไตรมาส 1/2568 ธนาคารกลางซื้อทองเพิ่มกว่า 244 ตัน นำโดยจีน โปแลนด์ และอินเดีย ขณะที่จีนซื้อทองต่อเนื่องถึง 7 เดือน สะท้อนความเชื่อมั่นต่อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางเงินเฟ้อ เศรษฐกิจที่เปราะบาง และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงยืดเยื้อ ทั้งหมดนี้คือสัญญาณชัดเจนว่า ทองคำยังคงเป็นโอกาสสำคัญที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม
นายธีรรัตน์ กล่าวอีกว่า การพักฐานของราคาทองคำในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ไม่ใช่สัญญาณสิ้นสุดของขาขึ้น แต่เป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มองเกมยาว นักลงทุนควรใช้จังหวะนี้ในการวางแผนและสะสมทองคำอย่างมีวินัย โดยกลยุทธ์ที่เหมาะสมคือการถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) เพื่อสร้างพอร์ตในราคาที่ดีเมื่อราคาผันผวน และเฝ้ารอสัญญาณแรงซื้อกลับหากราคาลงต่ำกว่า 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 2,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นจุดน่าสนใจสำหรับการเข้าซื้อ การวางแผนลงทุนในช่วงนี้จึงไม่ควรเน้นการจับจังหวะสั้น ๆ แต่ควรโฟกัสที่โอกาสสร้างความมั่นคงให้พอร์ตระยะยาว
“ในสภาวะที่ตลาดผันผวน ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์สำคัญสำหรับการกระจายความเสี่ยง และสร้างความมั่นคงในระยะยาว การพักฐานในครั้งนี้จึงควรถูกมองเป็นโอกาสมากกว่าอุปสรรค นักลงทุนควรใช้จังหวะนี้ประเมินสถานการณ์รอบด้าน และปรับกลยุทธ์วางแผนสะสมทองคำอย่างมีวินัย รอรอบขาขึ้นใหม่ โดย InterGOLD พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ที่นักลงทุนวางใจได้ ด้วยบริการครบวงจร ทั้งแพลตฟอร์ม Gold2Go ที่เริ่มต้นซื้อเพียง 100 บาท ไปจนถึงบริการจัดส่งทองคำจริงถึงบ้านด้วยประกันเต็มจำนวน เพื่อสนับสนุนให้ทุกการลงทุนเป็นไปอย่างมั่นใจ ปลอดภัย และยั่งยืน” นายธีรรัตน์ กล่าว