ช้อปออนไลน์โตสนั่น!!! ดันผลดำเนินงาน “แม็คกรุ๊ป” เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางกำลังซื้อ เศรษฐกิจโตชะลอตัว สงครามการค้าระอุ ไตรมาส 3 ปีบัญชี 2568 (1ม.ค 2568-31 มี.ค 2568) โชว์ กำไรสุทธิ 188 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.5% หนุน งวด 9 เดือนกำไรไว้แล้ว 626 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.5% โกยรายได้ 3,245 ล้านบาท ขณะที่ยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นระดับสูงกว่า 64.3% เชื่อมั่นทั้งปีผลงานโตตามเป้าหมาย !!!
นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC “แม็คยีนส์” เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปีบัญชี 2568 ( 1ม.ค 2568 -31 มี.ค 2568) บริษัทมีกำไรสุทธิ 188 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23 ล้านบาทหรือ 14.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 165 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิ 17.3% ดีขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 16.4%
ทั้งนี้ในไตรมาส 3 บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้ารวม 1,067 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72 ล้านบาทหรือ คิดเป็น 7.3 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการขาย 995 ล้านบาท เป็นผล จากการขายในช่องทางออนไลน์ แบบก้าวกระโดด อีกทั้งในช่วงไตรมาสนี้แม็คกรุ๊ปได้ ร่วมกับ TikTok Shop จัดทำโปรเจกต์พิเศษ Mc JEANS X TikTok Shop Live Base เปิดตัว LIVE Based studio ที่ Mc Outlet เมืองทองธานี เพื่อสนับสนุนแบรนด์และ Creator ในการทำ Live Commerce ผ่านทาง TikTok โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มยอดขายและขยายโอกาสให้ธุรกิจเติบโตผ่านการไลฟ์สด
โดยรายได้จากการขายสินค้าและกำไรที่เติบโตเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 ไตรมาส ส่งผลให้ งวด 9 เดือนรอบปีบัญชี 2568 (1ก.ค2567 -31 มี.ค 2568 ) แม็คกรุ๊ป มีกำไรสุทธิ 626 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49 ล้านบาทหรือ 8.5% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 577 ล้านบาท มีอัตราไรสุทธิ 19% เพิ่มขึ้นเทียบงวดเดียวกันปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 17.9% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นยังทรงตัวระดับสูงที่ 64.3% ซึ่งอัตรากำไรที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น มาจากยอดขายของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น โดย งวด 9 เดือนนี้บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้า 3,245 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67 ล้านบาทหรือ 2.10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายไดเจากการขาย 3,178 ล้านบาท รวมถึงการบริหารต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงส่งผลให้ผลดำเนินงานของบริษัทเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
“บริษัทเติบโตได้แข็งแกร่ง เป็นผลมาจากรายได้จากช่องทางออนไลน์ และการปรับตัวดีขึ้นของช่องทางออฟไลน์ในไตรมาสที่สองและสามอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงจากความกังวลต่อนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้า รวมไปถึงความกังวลต่อสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน การสู้รบระหว่างอิสราเอลและขบวนการฮามาส ตลอดจนความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า อย่างไรก็ดีการที่รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ มาตรการช่วยเหลือชาวไร่ ชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท มาตรการ Easy E-Receipt ในช่วงเดือน มกราคม ถึงกุมภาพันธ์ 2568 รวมถึงมาตรการแจกเงิน 10,000 บาทให้แก่ผู้สูงอายุ การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวภายหลังการเปิดประเทศ ตลอดจนการเปิดฟรีวีซ่า และการขยายเวลาการพำนักของนักท่องเที่ยว จะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีขึ้นและบริษัทเองก็จะได้รับอานิสงส์เชิงบวกด้วย“ นายเจมส์ ริชาร์ดกล่าว
นายเจมส์ ริชาร์ด เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในงวดไตรมาส 3 ปีบัญชี 2568 บริษัทมีรายได้จากช่องทางร้านค้าออนไลน์ (E-Commerce) เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด หนุนให้สัดส่วนรายได้จาก E-Commerce ขึ้นไปแตะที่ 18 % จาก 9% เทียบงวดเดียวกันปีก่อน หรือมีรายได้จากการขาย 194 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104 ล้านบาทหรือ 114.6% จาก 90 ล้านบาทเมื่องวดปีก่อน ส่วนงวด 9 เดือนมีรายได้ 531 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 66.3% หรือ 212 ล้านบาท จาก 319 ล้านบาท
ขณะที่สัดส่วนรายได้ช่องทางร้านค้าปลีกของตนเอง (Free-standing Shop) คิดเป็นสัดส่วน 63% ลดลงจาก 70% หรือมีรายได้ 670 ล้านบาท ลดลง 23 ล้านบาท จาก 693 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนมีรายได้ 2,096 ล้านบาท ลดลง 71 ล้านบาท จาก 2,167 ล้านบาท, ห้างสรรพสินค้า (Department Store) คิดเป็นสัดส่วน 17 % ลดลงจาก 19% หรือมีรายได้ 181 ล้านบาท ลดลง 5 ล้านบาทจาก 186 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนมีรายได้ 561ล้านบาท ลดลง 47 ล้านบาท จาก 608 ล้านบาท ขณะที่ช่องทางอื่น ๆ มีรายได้คิดเป็นสัดส่วน 2 %เท่าเดิม
นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า ณ วันที่ 31 มี.ค 2568 บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้น 3,605 ล้านบาท ลดลง 135 ล้านบาท จากเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ที่มีส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 3,741 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้มีการนำเงินไปจ่ายเงินปันผล 752 ล้านบาทในงวดครึ่งแรกของปีที่ผ่านมา ในขณะที่บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดและเงินลงทุนชั่วคราวรวม 1,733 ล้านบาทยังคงทรงตัวระดับสูงและเพียงพอรับมือกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในภาวะการณ์ต่างๆได้
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจงวดไตรมาสสุดท้ายของปียังมั่นใจว่าจะเป็นตามเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะโตในเลข2หลักแม้ว่าเศรษฐกิจจะต้องเผชิญกับการขึ้นภาษีของสหรัฐที่จะกด GDP ของประเทศให้โตได้น้อยลง แต่ทางบริษัทมีแผนตั้งรับไว้แล้ว เช่น การจัดแคมเปญลดกลางปีที่เตรียมตัวเลือกสินค้าที่หลากหลายให้กับลูกค้า รวมถึงการเน้นเพิ่มกลุ่มลูกค้าผู้หญิงด้วยสินค้าใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันก็ยังคงตัวเลือกสินค้าที่หลากหลายสำหรับลูกค้าผู้ชาย รวมถึงการโปรโมทสินค้าผ่านทางแพลตฟอร์มต่างๆที่หลากหลายเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้มากที่สุด เพื่อช่วยสนับสนุนผลดำเนินงานในงวดสุดท้ายของปี